Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

มิลินทปัญหา ตอนที่ 6

มิลินทปัญหา ออนไลน์ ตอนที่ 6 : วรรคที่ ๒ ปัญหาที่ ๑ ถามความสืบต่อแห่งธรรม, ปัญหาที่ ๒ ถามความรู้สึกของผู้ไม่เกิดอีก, ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา, ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องปรินิพพาน, ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องสุขเวทนา

ตอนที่ ๖ วรรคที่ ๒

ปัญหาที่ ๑ ถามความสืบต่อแห่งธรรม


สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ตรัสถามปัญหาต่อไปว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดเกิดก็เป็นผู้นั้นหรือว่ากลายเป็นผู้อื่น? ”
พระเถระถวายพระพรตอบว่า “ ไม่ใช่ผู้นั้น และไม่ใช่ผู้อื่น ”
“ โยมยังสงสัยขอนิมนต์อุปมาก่อน ”
“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเข้าพระทัยว่าอย่างไร…คือมหาบพิตรเข้าพระทัยว่า เมื่อมหาบพิตรยังเป็นเด็กอ่อน ยังนอนหงายอยู่ที่พระอู่นั้น บัดนี้มหาบพิตรเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คือเด็กอ่อนนั้น…อย่างนั้นหรือ? ”
“ ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า คือเด็กอ่อนนั้นเป็นผู้หนึ่งต่างหาก มาบัดนี้โยมซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก”

“ มหาราชะ เมื่อเป็นอย่างนั้น มารดาก็จักนับว่าไม่มี บิดาก็จักนับว่าไม่มี อาจารย์ก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศีลก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศิลปะก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีปัญญาก็จักนับว่าไม่มีทั้งนี้เพราะอะไร…เพราะว่ามารดาของผู้ยังเป็นกลละอยู่ เป็นผู้หนึ่งต่างหาก มารดาของผู้เป็นอัพพุทะคือผู้กลายจากกลละ อันได้แก่กลายจากน้ำใสๆ เล็กๆ มาเป็นน้ำคล้ายกับน้ำล้างเนื้อก็ผู้หนึ่งต่างหาก เมื่อผู้นั้นกลายเป็นก้อนเนื้อมารดาก็ผู้หนึ่งต่างหาก เมื่อผู้นั้นกลายเป็นแท่งเนื้อมารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่ง เมื่อผู้นั้นยังเล็กอยู่ มารดาก็เป็นผู้หนึ่งอีกต่างหาก เมื่อผู้นั้นโตขึ้นมารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ…ผู้ศึกษาศิลปะก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้สำเร็จการศึกษาแล้วก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้ทำบาปกรรมก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า ในเมื่อโยมกล่าวอย่างนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้าจะกล่าวว่าอย่างไร ? ”

“ ขอถวายพระพร เมื่อก่อนอาตมายังเป็นเด็กอ่อนอยู่ บัดนี้ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะทั้งปวงนั้นรวมเข้าเป็นอันเดียวกันเพราะอาศัยกายอันนี้แหละ ”
“ ขอได้โปรดอุปมาด้วย ”
“ มหาราชะ เปรียบเสมือนว่าบุรุษคนหนึ่งจุดประทีปไว้ ประทีปนั้นจะสว่างอยู่ตลอดคือหรือไม่ ? ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ประทีปนั้นต้องสว่างอยู่ตลอดคืน”
“ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้นก็คือเปลวประทีปในยามกลางอย่างนั้นหรือ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
“ เปลวประทีปในยามกลางก็คือเปลวประทีปในยามปลายอย่างนั้นหรือ ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
“ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้นก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามกลางก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามปลายก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างนั้นหรือ ? ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้นผู้เป็นเจ้า คือเปลวประทีปนั้นได้สว่างอยู่ตลอดคืนก็เพราะอาศัยประทีปดวงเดียวกันนั้นแหละ ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละมหาบพิตร คือ ธรรมสันตติ (ความสืบต่อแห่งธรรม) ย่อมสืบต่อกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ ย่อมติดต่อกันไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้นจะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าผู้อื่นก็ไม่ใช่ ย่อมถึงซึ่งการจัดเข้าในวิญญาณดวงหลัง ขอถวายพระพร”

“ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
“ มหาราชะ ในเวลาที่คนทั้งหลายรีดนม นมสดก็กลายเป็นนมส้ม เปลี่ยนจากนมส้มก็กลายเป็นนมข้น เมื่อเปลี่ยนจากนมข้นก็กลายเป็นเปรียง ผู้ใดกล่าวว่านมสดนั้นแหละคือนมส้ม นมส้มนั้นแหละคือนมข้น นมข้นนั้นแหละคือเปรียง จะว่าผู้นั้นกล่าวถูกต้องดีหรืออย่างไร ? ”
“ ไม่ถูกพระผู้เป็นเจ้า คือเปรียงนั้นก็อาศัยนมสดเดิมนั้นแหละ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละมหาบพิตร ธรรมสันตติ คือความสืบต่อแห่งธรรมก็ย่อมสืบต่อกันไป อย่างหนึ่งเกิด อย่างหนึ่งดับ สืบต่อกันไปไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้นจะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าผู้อื่นก็ไม่ใช่ ว่าได้แต่เพียงว่าถึงซึ่งการสงเคราะห์เข้าในวิญญาณดวงหลังเท่านั้น ขอถวายพระพร ”
“ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขนี้สมควรแล้ว ”

ปัญหาที่ ๒ ถามความรู้สึกของผู้ไม่เกิดอีก

“ ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลใดไม่เกิดอีก บุคคลนั้นรู้หรือไม่ว่าเราจักไม่เกิดอีก ? ”
“ มหาราชะ ผู้ใดจะไม่เกิดอีกผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิด”
“ ข้าแต่พระคุณเจ้า ผู้นั้นรู้ได้อย่างไร ? ”
“ ขอถวายพระพร เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจะไม่เกิดเพราะความดับไปแห่งเหตุปัจจัยอันนั้นแล้ว ”
“ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
“ มหาราชะ เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแล้ว หว่างข้าวแล้ว ได้ข้าวไว้เต็มยุ้งแล้วต่อมาภายหลังเขาก็ไม่ไถไม่หว่านอีก เขามีแต่บริโภคหรือขายซึ่งข้าวนั้น หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามเหตุปัจจัยที่มีมา ชาวนานั้นรู้หรือไม่ว่า ยุ้งข้าวของเราจักไม่เต็ม? ”
“ รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ รู้อย่างไรล่ะ ? ”
“ อ๋อ..รู้เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ยุ้งข้าวเต็ม”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิดอีก เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้ถือกำเนิดแล้ว ”
“ ถูกแล้ว พระนาคเสน ”

อธิบาย คำว่า “ หมดเหตุปัจจัย ” หมายความว่า เป็นผู้หมดกิเลส ตัณหา อุปาทาน

ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา

“ ข้าแต่พระนาคเสน ญาณเกิดแก่ผู้ใด ปัญญาเกิดแก่ผู้นั้นหรือ ? ”
“ เกิด…มหาราชะ คือ ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา ก็เกิดแก่ผู้นั้น”
“ ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดเป็นญาณสิ่งนั้นหรือเป็นปัญญา? ”
“ ถูกแล้ว…มหาราชะ คือสิ่งใดเป็นญาณก็สิ่งนั้นแหละเป็นปัญญา”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ญาณได้เกิดแก่ผู้ใดปัญญานั้นได้เกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นหลงหรือไม่หลง ? ”
“ มหาราชะ ผู้มีปัญญาหลงในบางสิ่งบางอย่าง ไม่หลงในบางสิ่งบางอย่าง”
“ หลงในสิ่งไหน ไม่หลงในสิ่งไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร หลงในศิลปะที่ไม่ชำนาญก็มี ในทิศที่ไม่เคยไปก็มี ในชื่อหรือสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี ”
“ อ๋อ…แล้วไม่หลงในอะไร พระผู้เป็นเจ้า ? ”
“ ไม่หลงในสิ่งที่ตนรู้แล้วว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ”

“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็โมหะ คือความหลงของผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”
“ มหาราชะ พอญาณเกิดแล้ว โมหะคือความหลงก็ดับไปในญาณนั้นเอง”
“ ขอนิมนต์อุปมาเถิด ”

อุปมาผู้จุดประทีป

“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง จุดประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด ในขณะนั้นความมืดก็ดับไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นฉันใด เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้ว โมหะก็ดับไปในที่นั้นฉันนั้นแหละ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็ปัญญานั้นเล่า…ไปอยู่ที่ไหน? ”
“ มหาราชะ ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปในที่นั้นเอง สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปแต่สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ดังนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย”

อุปมาการเขียนเลข

“ มหาราชะ เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้ใดผู้หนึ่งอยากดูตัวเลขในกลางคืน จัดแจงให้จุดประทีปขึ้นเขียนเลข เมื่อประทีปดับแล้วเลขก็ยังไม่หายไปข้อนี้มีอุปมาฉันใด ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น มิได้ดับไปฉันนั้น ”

ขอพระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งขึ้น ”

อุปมาโอ่งน้ำ

“ ขอถวายพระพร เปรียบประดุจพวกมนุษย์ในชนบทตะวันออก จัดตั้งโอ่งน้ำไว้ ๕ โอ่งข้างประตูเพื่อดับไฟที่จะไหม้เรือน เมื่อไฟไหม้เรือนแล้วโอ่งน้ำ ๕ โอ่งนั้นเขาก็นำไปเก็บไว้ในละแวกบ้าน ไฟก็ดับไป ชาวบ้านคิดหรือไม่ว่าเราจักต้องทำสิ่งที่จำเป็นด้วยโอ่งน้ำเหล่านั้นอีก? ”
“ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นกับโอ่งน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว ด้วยว่าไฟก็ดับแล้ว เขาจึงนำไปเก็บไว้อย่างนั้น ”
“ มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นว่า เปรียบเหมือนกับโอ่งน้ำทั้ง ๕ พระโยคาวจรเปรียบเหมือนชาวบ้าน กิเลสเปรียบเหมือนไฟ กิเลสดับไปด้วยอินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนกับไฟดับไปด้วยน้ำทั้ง ๕ โอ่งนั้น กิเลสที่ดับไปแล้วย่อมไม่เกิดขึ้นอีกฉันใด เมื่อปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปแต่สิ่งที่รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นมิได้ดับไปฉันนั้น ”
“ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”

อุปมารากยา

“ มหาราชะเปรียบปานประหนึ่งว่าแพทย์ผู้ถือเอารากยา ๕ รากไปหาคนไข้ บดรากยาทั้ง ๕ นั้น แล้วละลายน้ำให้คนไข้ดื่ม โรคนั้นก็หายไปด้วยรากยาทั้ง ๕ รากนั้น แพทย์นั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจที่ควรทำด้วยรากยาเหล่านั้นอีก ? ”
“ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
“ มหาราชะ รากยาทั้ง ๕ นั้น เหมือน อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น แพทย์นั้นเหมือนพระโยคาวจร ความเจ็บไข้เหมือนกิเลส บุรุษผู้เจ็บไข้เหมือนปุถุชน ไข้หายไปด้วยยาทั้ง ๕ รากนั้นแล้ว ผู้เจ็บไข้นั้นก็หายโรคฉันใด เมื่อกิเลสออกไปด้วยอินทรีย์ ๕ แล้ว กิเลสก็ไม่เกิดอีก อย่างนี้แหละ มหาบพิตรชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งนั้น หามิได้ดับไปฉันนั้น ”
“ นิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก ”

อุปมาผู้ถือลูกธนู

“ มหาราชะ เหมือนกับบุรุษผู้จะเข้าสู่สงคราม ถือเอาลูกธนู ๕ ลูก แล้วเข้าสู่สงคราม เพื่อต่อสู้กับข้าศึก เขาเข้าสู่สงครามแล้วก็ยิงลูกธนูไป ข้าศึกก็แตกพ่ายไป บุรุษนั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจด้วยลูกธนูเหล่านั้นอีก ? ”
“ ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า ”
“ มหาราชะควรเห็นอินทรีย์ ๕ เหมือนลูกธนูทั้ง ๕ พระโยคาวจรเหมือนกับผู้เข้าสู่สงคราม กิเลสเหมือนกับข้าศึก กิเลสแตกหักไปเหมือนกับข้าศึกพ่ายแพ้ กิเลสดับไปแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นหามิได้ดับไป ขอถวายพระพร”
“ แก้ดีแล้ว พระนาคเสน ”

ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องปรินิพพาน

“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะไม่เกิดอีก ผู้นั้นยังได้เสวยทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ ? ”
“ ขอถวายพระพร ได้เสวยก็มี ไม่ได้เสวยก็มี ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่าได้เสวยก็มีไม่ได้เสวยก็มีนั้น คือเสวยอะไร ไม่ได้เสวยอะไร ? ”
“ ขอถวายพระพร ได้เสวยทุกขเวทนาทางกาย ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ”
“ ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่าได้เสวยทุกขเวทนาทางกาย แต่ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจนั้น คืออย่างไร ? ”
“ ขอถวายพระพร คือเหตุปัจจัยอันใดที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางกายยังมีอยู่ ผู้นั้นก็ยังได้เสวยทุกขเวทนาทางกายอยู่ เหตุปัจจัยอันใดที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางใจดับไปแล้วผู้นั้นก็ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ ข้อนั้สมกับที่สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า “ผู้นั้นได้เสวยทุกขเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ” ”

“ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาแล้วนั้น เหตุไรจึงยังไม่ปรินิพพาน ? ”
“ ขอถวายพระพร ความยินดีหรือยินร้ายไม่มีแก่พระอรหันต์เลย พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมไม่ทำสิ่งที่ยังไม่แก่ไม่สุกให้ตกไป มีแต่รอการแก่การสุกอยู่เท่านั้น ข้อนี้สมกับพระสารีบุตรเถระผู้เป็นเสนาบดีในทางธรรมได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่ยินดีต่อมรณะ เราไม่ยินดีต่อชีวิต เรารอแต่เวลาอยู่ เหมือนกับลูกจ้างรอเวลารับค่าจ้างเท่านั้น เราไม่ยินดีต่อมรณะ ไม่ยินดีต่อชีวีต เราผู้มีสติสัมปชัญญะ รอแต่เวลาอยู่เท่านั้น”
“ ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

สรุปความในข้อนี้มีความหมายว่า พระอรหันต์ยังต้องมีความทุกข์ทางกาย เช่น หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระปัสสาวะ การป่วยไข้ไม่สบาย ความแก่ และความตาย เป็นต้น แต่จิตใจของท่านไม่กระวนกระวายไม่เป็นทุกข์ไปด้วย ยอมรับนับถือกฏของธรรมดา พระนาคเสนจึงตอบว่า “ ผู้ที่ไม่เกิดอีก จึงได้เสวยทุกขเวทนาแต่ทางกาย ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ” ดังนี้

ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องสุขเวทนา

“ ข้าแต่พระนาคเสน สุขเวทนาเป็นกุศลหรืออกุศล หรืออัพยากฤต ? ” (อัพยากฤต หมายถึงธรรมที่ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล)
“ ขอถวายพระพร เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี อัพยากฤตก็มี”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นกุศลก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นกุศล คำกล่าวว่า “ สุขเป็นทั้งกุศล เป็นทั้งทุกข์ ” ก็ไม่ควร ”

ฺอุปมาก้อนเหล็กแดงและหิมะ

“ ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือถ้ามีก้อนเหล็กแดงวางอยู่ที่มือข้างหนึ่งของบุรุษคนหนึ่งและมีก้อนหิมะเย็นว่างอยู่ที่มืออีกข้างหนึ่ง มือทั้งสองข้างจะถูกเผาเหมือนกันหรือ…มหาบพิตร? ”
“ ถูกเผาเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะร้อนเหมือนกันหรือ? ”
“ ไม่ร้อนเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะเย็นเหมือนกันหรือ? ”
“ ไม่เย็นเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า ”

“ ขอมหาบพิตรจงทราบว่า มหาบพิตรถูกกล่าวข่มขี่แล้ว คือ ถ้าก้อนเหล็กแดงอันร้อนเป็นของเผาก็จะต้องเผามือทั้งสองข้าง แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อนเหมือนกันเพราะฉะนั้นถ้อยคำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้ ถ้าของที่เย็นเป็นของเผามือทั้งสองข้างก็จะต้องถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างไม่เย็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้ ขอถวายพระพร เหตุไรจึงว่ามือทั้งสองข้างถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อนเหมือนกัน ไม่เย็นเหมือนกัน ข้างหนึ่งร้อน อีกข้างหนึ่งเย็น เพราะฉะนั้น คำที่มหาบพิตรตรัสว่ามือทั้งสองข้างถูกเผานั้นจึงใช้ไม่ได้”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจโต้ตอบกับพระผู้เป็นเจ้าได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขไปเถิด ”

ลำดับนั้น พระเถระจึงทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเข้าพระทัยได้ด้วยคาถาอันประกอบด้วยอภิธรรมว่า “ มหาราชะ โสมนัสเวทนา (ความรู้สึกยินดี) อันอาศัยการครองเรือน (กามคุณ ๕) มีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖ โทมนัสเวทนา (ความรู้สึกยินร้าย) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖ อุเบกขาเวทนา (ความรู้สึกวางเฉย) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖ เวทนาทั้ง ๓๖ อย่างนี้ แยกเป็นเวทนาที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน รวมเข้าด้วยกันเป็นเวทนา ๑๐๘ ขอถวายพระพร”
“ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว ”


ขอขอบคุณต้นฉบับ : www.geocities.com/SouthBeach/Terrace/4587/milindl.htm

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น