มิลินทปัญหา ออนไลน์ ตอนที่ 33 : เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๙ ปัญหาที่ ๙ ถามเกี่ยวกับธุดงค์, อุปมาปัญหา บทมาติกา ว่าด้วยอุปมาต่างๆ, โฆรสวรรคที่ ๑ อุปมาองค์ ๑ แห่งลา, อุปมาองค์ ๕ แห่งไก่
ตอนที่ ๓๓
ปัญหาที่ ๙ ถามเกี่ยวกับธุดงค์
พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงเห็นพวกภิกษุที่ถือธุดงค์อยู่ในป่ามีอยู่ ทั้งรู้ว่าคฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จอนาคามีผลมีอยู่ จึงทรงสงสัยว่าถ้าคฤหัสถ์สำเร็จธรรมได้ ธุดงค์ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราจักถามถึงพระศาสนาอันละเอียดอันย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคำของผู้อื่น อันเป็นของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้ เพื่อให้สิ้นสงสัยของเรา ครั้นทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้รีบเสด็จไปหาพระนาคเสนด้วยความรีบร้อน เหมือนกับโคที่กระหายน้ำ และเหมือนกับคนที่หิวข้าว หรือเหมือนกับคนเจ็บไข้ต้องการหมอ เหมือนกับคนไม่มีทรัพย์แสวงหาทรัพย์ เหมือนกับผู้จะข้ามฟากต้องการเรือ เหมือนกับคนกำลังเกิดความรักต้องการความรัก หรือเหมือนกับคนเป่าปี่ ต้องการให้ปี่มีเสียงไพเราะ หรือเหมือนกับคนกลัวภัยแสวงหาที่พึ่ง หรือเหมือนกับพระภิกษุผู้ต้องการความดับกิเลสฉะนั้น
ครั้งเสด็จเข้าไปถึงแล้ว จึงทรงนึกถึงคุณอันประเสริฐ ๑๐ ประการ ว่าถ้าเราถามแล้ว ท่านแก้ให้เราฟัง เราก็จักหมดสงสัย ๑ ใจของเราจักบริสุทธิ์ ๑ เราจักไม่มีวิตกที่ชั่ว ๑ จักถึงซึ่งกระแสธรรม ๑ จักได้ปัญญาจักษุ ๑ จะได้ชื่อว่าอาจารย์อนุเคราะห์ ๑ จักเป็นผู้ไม่มีเครื่องกีดขวางกุศลธรรมทั้งปวง ๑ จะได้ประกอบด้วยโลกุตตรธรรม ๑ จักไม่สะดุ้งกลัวต่อภพทั้งปวง ๑ เวลาเข้าสู่ที่ประชุมจะอาจแทงตลอดเหตุผลทั้งปวง ๑ ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสถามขึ้นว่า“ ข้าแต่พระนาคเสน คฤหัสถ์ได้สำเร็จนิพพานมีอยู่หรือ? ”
“ มีอยู่ มหาบพิตร มีอยู่มากทีเดียว นับเป็นจำนวนร้อยหมื่นแสนล้านโกฏิไม่ได้”
“ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงให้โยมแจ่มแจ้งด้วยเถิด ”
“ ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นอาตมภาพจักแสดงถวาย คือพระธรรมในพระพุทธศาสนาอันประกอบด้วยองค์ ๙ ย่อมรวมลงในธุดงค์ทั้งนั้น เหมือนกับน้ำฝนที่ตกลงมาทั้งสิ้นย่อมไหลไปรวมมหาสมุทรฉันนั้น อาตมภาพจักจำแนกเนื้อความข้อนี้ให้แจ่มแจ้ง เหมือนอาจารย์เลขผู้ฉลาดสอนเลขให้แก่ลูกศิษย์ฉะนั้น
คฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผลในสมัยพุทธกาล
ขอถวายพระพร ที่กรุงสาวัตถีมีอริยสาวก ๕ โกฏิ มีอุบาสกอุบาสิกาตั้งอยู่ในอนาคามีผลถึง ๓๕๗,๐๐๐ คน พวกนั้นล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นบรรพชิตเลย ยังมีอีกคือคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีพวกคฤหัสถ์บรรลุมรรคผลถึง ๒๐ โกฏิ คราวทรงแสดงราหุโลวาทสูตร มหามงคลสูตร สมจิตตปริยายสูตร ปราภวสูตร จูฬสุภัททสูตร กลหวิวาทสูตร จูฬพยูหสูตร มหาพยูหสูตร ตุวัฏฏกสูตร สารีปุตตสูตร มีเทวดาบรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน ในกรุงราชคฤห์มีอริยสาวก ซึ่งล้วนแต่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ๓๕๐,๐๐๐ คน ยังมีอีกคือในคราวทรงทรมานช้างธนบาล มีผู้ได้บรรลุมรรคผลอีก ๙๐ โกฏิ คราวทรงแก้ปัญหาแห่งมาณพ ๑๖ คน ( ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี) ที่ปาสาณกเจดีย์มีผู้บรรลุมรรคผลอีก ๑๔ โกฏิคราวทรงแสดงสักกปัญหาสูตร ที่ถ้ำอินทสาลคูหา มีเทวดาบรรลุมรรคผลถึง ๘๐ โกฏิ คราวทรงแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่ป่าอิสิปตนมิคทายวันครั้งแรก มีพรหม ๑๘ โกฏิ กับเทวดาประมาณมิได้บรรลุมรรคผล ในคราวทรงแสดงพระอภิธรรมที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ในดาวดึงส์สวรรค์ มีเทวดาบรรลุมรรคผล ๘๐ โกฏิ ในคราวเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ก็มีผู้บรรลุมรรคผล ๓๐ โกฏิ ในคราวทรงแสดงพุทธวงศ์ที่นิโครธารามกรุงบิลพัสดุ์ และในคราวทรงแสดงมหาสมัยสูตร ก็มีเทวดาได้บรรลุมรรคผลนับไม่ได้ ในคราวนายสุมนมาลาการบูชาด้วยดอกมะลิ อันเรียกว่าในสมาคมแห่งสุมนมาลาการ และในสมาคมคราวทรงแสดงเรื่องอานันทเศรษฐี ในสมาคมคราวโปรดชัมพุกาชีวก ในสมาคมคราวมัณฑุกเทพบุตรลงมาเฝ้า ในสมาคมคราวมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาเฝ้า คราวสมาคมนางสุรสานครโสเภณี และนางสิริมานครโสเภณี ธิดาช่างทอหูก (เปสการี) นางจูฬสุภัททา สาเกตพราหมณ์ อาฬาหณทัสสนะ สุนาปรัตปะ สักกปัญหา ติโลกุฑฑสูตร มีผู้บรรลุมรรคผลถึง ๘๔,๐๐๐ คน พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในโลก อันมีใน ๑๖ ชนบทนั้น หรือไม่ว่าประทับอยู่ในที่ใดๆ โดยมากมีเทพยดามนุษย์ สำเร็จนิพพานในที่นั้นๆ คราวละ ๒ - ๓ ตลอดถึงคราวละแสน เทพยดามนุษย์เหล่านั้นเป็นพวกคฤหัสถ์ทั้งนั้นขอถวายพระพร ”พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า “ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ธุดงคคุณ ๑๓ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าความเจ็บไข้หายไปได้ด้วยการร่ายมนต์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับยาถ่ายและคนผู้มีความรู้ ถ้าปราบศัตรูได้ด้วยกำปั้น ดาบ หอก แหลน หลาว เกาทัณฑ์ ธนู หน้าไม้ ค้อนเหล็ก ไม้ค้อน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าขึ้นต้นไม้ได้ด้วยการผูกไม้หรือกิ่งไม้ที่เป็นข้อเป็นปมคดๆ งอๆ เป็นโพรงได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการที่แสวงหาบันไดยาวๆ ถ้าธาตุจะเสมอดีได้ด้วยการนอนตามพื้นดินก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาที่นอนที่สุขสบายดี ถ้าสามารถเดินผ่านพ้นทางที่มีอันตรายลำพังผู้เดียวได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาพรรคพวกที่มีศาตราวุธถ้าสามารถข้ามแม่น้ำไปได้ด้วยแขนของตน ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาสะพานหรือเรือ ถ้าการกินอยู่ของตนมีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องเที่ยวขอผู้อื่น ถ้าได้น้ำในที่ไม่มีห้วงน้ำแล้ว ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะขุดบ่อน้ำ หนองน้ำ สระน้ำ ข้อความเหล่านี้ฉันใด ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรที่ต้องถือธุดงคคุณ”
คุณแห่งธุดงค์ ๒๘ ประการ
“ ขอถวายพระพร ธุดงค์ประกอบด้วยคุณเหล่าใด ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการคุณแห่งธุดงค์เหล่านั้น มีอยู่ ๒๘ ประการคือ๑. การหาเลี้ยงชีพบริสุทธิ์
๒. มีผลเป็นสุข
๓. เป็นของไม่มีโทษ
๔. บำบัดความทุกข์ของผู้อื่นเสีย
๕. เป็นของไม่มีภัย
๖. เป็นของไม่เบียดเบียน
๗. มีแต่เจริญฝ่ายเดียว ไม่เป็นเหตุให้เสื่อม
๘. ปราศจากมายา
๙. ไม่ขุ่นมัว
๑๐. เป็นเครื่องป้องกัน
๑๑. ให้สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา
๑๒. กำจัดเสียซึ่งอาวุธทั้งปวง
๑๓. มีประโยชน์ในทางสำรวม
๑๔. สมควรแก่สมณะ
๑๕. สงบนิ่ง
๑๖. เป็นเหตุให้พ้นจากกิเลส
๑๗. เป็นเหตุให้สิ้นราคะ
๑๘. เป็นเครื่องปราบเสียซึ่งโทสะ
๑๙. ทำโมหะให้พินาศ
๒๐. กำจัดเสียซึ่งมานะ
๒๑. เป็นเหตุตัดเสียซึ่งวิตกชั่ว
๒๒. ทำให้ข้ามสงสัยเสียได้
๒๓. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
๒๔. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม
๒๕. เป็นเหตุให้อดทน
๒๖. เป็นของชั่งไม่ได้
๒๗. เป็นของหาประมาณมิได้
๒๘. ทำให้สิ้นทุกข์ทั้งปวง
องค์ ๑๘ ของผู้สมาทานธุดงค์
ขอถวายพระพร บุคคลเหล่าใดสมาทานถือมั่นธุดงคคุณ บุคคลเหล่านั้นย่อมประกอบด้วยองค์ ๑๘ คือ๑. มี
ผู้ควรแก่ธุดงคคุณ ๑๐
อุปมาธุดงคคุณ
ธุดงค์ ๑๓ ข้อ
คุณอันประเสริฐ ๓๐ ของผู้บำเพ็ญธุดงค์
อธิบาย
พระอุปเสนจึงทูลว่า“ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเข้ามาสู่สำนักของข้าพระองค์แล้ว ขอบรรพชาก็ดี ขอนิสสัยก็ดี ข้าพระองค์จึงว่ารูปนี้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือผ้าไตรจีวรเป็นวัตร ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถ้าแม้ท่านถือได้อย่างนี้จึงจะบวชให้และจะให้นิสสัย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่บวชให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ศิษย์ของข้าพระองค์จึงพร้อมกันปฏิบัติเป็นอย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าข้า” ดังนี้
อุปมาปัญหา
บทมาติกา ว่าด้วยอุปมาต่างๆ
“ ขอถวายพระพร ภิกษุผู้มุ่งจะสำเร็จพระอรหันต์ ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งลา องค์ ๕ แห่งไก่ องค์ ๑ แห่งกระแต องค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลือง องค์ ๒ แห่งพ่อเสือเหลือง องค์ ๕ แห่งเต่า องค์ ๑ แห่งไม่ไผ่ องค์ ๒ แห่งกา องค์ ๒ แห่งวานร (นี้เป็น วรรคที่ ๑) (วรรคที่ ๒) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้า องค์ ๓ แห่งดอกปทุม องค์ ๒ แห่งพัด องค์ ๑ แห่งไม้ขานาง องค์ ๓ แห่งเรือ องค์ ๒ แห่งเครื่องขัดข้องเรือ องค์ ๑ แห่งเสากระโดง องค์ ๓ แห่งนายท้ายเรือ องค์ ๑ แห่งกรรมกร องค์ ๕ แห่งทะเล (วรรคที่ ๓) ควรถือเอาองค์ ๕ แห่งปฐพี องค์ ๕ แห่งแม่น้ำ องค์ ๕ แห่งไฟ องค์ ๕ แห่งพายุ องค์ ๕ แห่งภูเขา องค์ ๕ แห่งอากาศ องค์ ๕ แห่งพระจันทร์ องค์ ๕ แห่งพระอาทิตย์ องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะ องค์ ๕ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ (วรรคที่ ๔) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งปลวก องค์ ๒ แห่งแมว องค์ ๑ แห่งหนู องค์ ๑ แห่งแมงป่อง องค์ ๑ แห่งพังพอน องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก องค์ ๓ แห่งเนื้อในป่า องค์ ๔ แห่งโค องค์ ๒ แห่งหมู องค์ ๕ แห่งช้าง (วรรคที่ ๕) ควรถือเอาองค์ ๗ แห่งราชสีห์ องค์ ๓ แห่งนกจากพราก องค์ ๒ แห่งนกเงือก องค์ ๑ แห่งนกกระจอก องค์ ๒ แห่งนกเค้า องค์ ๒ แห่งตะขาบ องค์ ๒ แห่งค้างคาว องค์ ๑ แห่งปลิง องค์ ๓ แห่งงู องค์ ๑ แห่งงูเหลือม (วรรคที่ ๖) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งแมงมุม องค์ ๑ แห่งเด็กอ่อน องค์ ๑ แห่งเต่าเหลือง องค์ ๕ แห่งป่า องค์ ๓ แห่งต้นไม้ องค์ ๕ แห่งเมฆ องค์ ๓ แห่งแก้วมณี องค์ ๔ แห่งนายพราน องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ด องค์ ๒ แห่งช่างไม้ (วรรคที่ ๗) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งช่างหม้อ องค์ ๒ แห่งกาลักน้ำ องค์ ๓ แห่งฉัตร องค์ ๓ แห่งนา องค์ ๒ แห่งยาดับพิษงู องค์ ๓ แห่งโภชนะ องค์ ๔ แห่งนายขมังธนู องค์ ๔ แห่งพระราชา องค์ ๒ แห่งนายประตู องค์ ๑ แห่งหินบด (วรรคที่ ๘) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งประทีป องค์ ๒ แห่งนกยูง องค์ ๒ แห่งโคอุสุภราช องค์ ๒ แห่งม้า องค์ ๒ แห่งบ่อน้ำ องค์ ๒ แห่งเขื่อน องค์ ๒ แห่งคันชั่ง องค์ ๒ แห่งพระขรรค์ องค์ ๒ แห่งชาวประมง องค์ ๑ แห่งกู้หนี้ (วรรคที่ ๙) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งคนเจ็บป่วย องค์ ๒ แห่งหนทาง องค์ ๒ แห่งแม่น้ำ องค์ ๑ แห่งมหรสพ องค์ ๓ แห่งบาตร องค์ ๑ แห่งของเสวย องค์ ๓ แห่งโจร องค์ ๑ แห่งเหยี่ยวนกเขา องค์ ๑ แห่งสุนัข องค์ ๓ แห่งคนรักษาโรค องค์ ๒ แห่งหญิงมีครรภ์ (วรรคที่ ๑๐) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งนกจามรี องค์ ๒ แห่งนกกระต้อยตีวิด องค์ ๒ แห่งนกพิราบ องค์ ๒ แห่งนกตาข้างเดียว องค์ ๓ แห่งคนไถนา องค์ ๑ แห่งสุนัขจิ้งจอกชัมพุกะ องค์ ๒ แห่งผ้ากรองด่าง องค์ ๑ แห่งทัพพี องค์ ๓ แห่งคนใช้หนี้แล้ว องค์ ๑ แห่งอวิจีนิกะ (วรรคที่ ๑๑) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งนายสารถี องค์ ๑ แห่งช่างหูก องค์ ๑ แห่งมัตถยิกะ องค์ ๒ แห่งโภชนกะ องค์ ๑ แห่งช่างชุน องค์ ๑ แห่งนายเรือ องค์ ๒ แห่งแมลงภู่ ”
โฆรสวรรคที่ ๑
อุปมาองค์ ๑ แห่งลา
“ ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่าควรถือองค์ ๑ แห่งลานั้น หมายความว่า องค์หนึ่งแห่งลานั้นได้แก่อะไร ? ”
“ ขอถวาบพระพร ธรรมดาว่าลานั้น ไม่เลือกที่นอน นอนบนกองหยากเยื่อก็มี ที่ทาง ๔ แพร่งก็มี ๓ แพร่งก็มี ที่ประตูบ้านก็มี ที่กองแกลบก็มีฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่เลือกที่นอนฉันนั้น ปูแผ่นหนังลงไปในที่ปูด้วยหญ้าหรือใบไม้ หรือเตียงไม้ หรือแผ่นดินแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วก็นอนฉันนั้น ข้อนี้สมกับที่มีพระพุทธดำรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลายในบัดนี้ ทำกายเหมือนท่อนไม้ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร” ส่วน พระสารีบุตรเถระได้กล่าวไว้ว่า “การนั่งคู้บัลลังก์ คือนั่งขัดสมาธิก็พออยู่สบาย สำหรับภิกษุผู้มุ่งต่อพระนิพพาน” ดังนี้ ขอถวายพระพร”
อุปมาองค์ ๕ แห่งไก่
“ ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งไก่นั้นได้แก่อะไร? ”“ ขอถวายพระพร ธรรมดาไก่ย่อมอยู่ในที่สงัดตั้งแต่ในเวลายังวันฉันใด พระโยคาวจรก็กวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ อาบน้ำชำระกาย ไหว้พระเจดีย์ตั้งแต่ในเวลายังวัน แล้วไปหาอยู่ในที่สงัดตั้งแต่ในเวลายังวันฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งไก่ ธรรมดาไก่ย่อมตื่นแต่เช้าฉันใด พระโยคาวจรก็ตื่นแต่เช้าฉันนั้น แล้วลงไปปัดกวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ ชำระร่างกายดีแล้ว ก็กราบไหว้พระเจดีย์แล้ว จึงเข้าไปสู่ที่สงัดอีก อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งไก่ ธรรมดาไก่ย่อมคุ้ยเขี่ยพื้นดินหากินอาหารฉันใด พระโยคาวจรก็พิจารณาแล้วจึงฉันอาหาร ไม่ฉันเพื่อให้เกิดความคะนอง ความมัวเมา ความสวยงามแห่งร่างกาย ฉันเพียงให้กายนี้อยู่ได้ เพื่อจะได้ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป และเพื่อบรรเทาเวทนาเก่า กำจัดเวทนาใหม่เท่านั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งไก่ ข้อนี้สมกับสมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า “บุคคลกินเนื้อแห่งบุตรในทางกันดารได้ด้วยความลำบากใจ กินพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันใด หรือบุคคลเติมน้ำมันหยอดเพลาพอให้รถแล่นไปได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันอาหารพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันนั้น” ธรรมดาไก่ถึงมีตา ก็เหมือนตาบอดในเวลากลางคืนฉันใด พระโยคาวจรถึงตาไม่บอดก็ควรเป็นเหมือนตาบอดฉันนั้น ทั้งในเวลาอยู่ในป่าหรือเที่ยวบิณฑบาตในบ้าน พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด คนหูหนวก คนใบ้ ต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันน่ายินดี อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งไก่ ข้อนี้สมกับถ้อยคำของ พระมหากัจจายนเถระ กล่าวไว้ว่า “พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด คนหูนวก คนใบ้ คนไม่มีกำลัง เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ควรนอนเหมือนคนตาย” ดังนี้ ธรรมดาไก่ถึงถูกไล่ตีด้วยก้อนดิน ไม้ค้อน หรือถูกตีด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ก็ไม่ทิ้งที่อยู่ของตนฉันใด พระโยคาวจรถึงจะทำจีวรกรรมคือการทำจีวร หรือนวกรรมคือการก่อสร้าง การเรียน การถาม ก็ไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการคือตั้งใจไว้ด้วยอุบายอันชอบฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๕ แห่งไก่ ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า “อะไรเป็นโคจรของภิกษุ เป็นวิสัยบิดาของตน อันนี้คือสติปัฏฐาน ๔” ดังนี้ ถึง พระสารีบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า “ไก่ย่อมไม่ทิ้งเล้าไก่ของตน ย่อมรู้จักสิ่งที่ควรกินไม่ควรกิน พอใช้ชีวิตเป็นไปได้ฉันใด พระพุทธบุตรก็ไม่ควรประมาทไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการอันประเสริฐฉันนั้น” ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
ขอขอบคุณ
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น