Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

รวมคำถามคำตอบหมวดบทวิเคราะห์ (3)

ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่

หน้านี้เป็นการรวมคำถามคำตอบหมวดบทวิเคราะห์ ที่มีผู้สนใจถามเข้ามา เป็นชุดที่ 3 นะครับ



การช่วยเหลือเด็กพิเศษ

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับ


คำถาม

Subject: Re: thumma question 2

เรียน คุณธัมมโชติ

1. ผมจะหาซื้อ หาอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องของชวนะจิตได้ที่ไหนครับ และอยู่ในหมวดใดครับ

2. ผมมีลูกชายคนที่ 2 จัดเป็นเด็กปัญญาอ่อน ผมควรทำอะไรบ้างครับ เพื่อช่วยเหลือให้เขารับวิบากในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

ขอขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ


ตอบ

เรียน คุณ .....

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบคำถามดังนี้นะครับ
  1. หนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องของชวนะจิตนั้นหาซื้อได้ที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ที่ตึกอภิธรรม (หรืออะไรทำนองนี้ ที่เขาเรียนอภิธรรมกันนะครับ) ซึ่งอยู่ข้างในวัด (ไม่ใช่ร้านหนังสือที่อยู่ข้างวัดนะครับ) แต่ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็ลองถามวัดที่มีการสอนอภิธรรมดูนะครับ (ผมไม่ทราบว่าคุณ ..... อยู่ที่ไหน)

    เป็นหนังสือเรียนของชั้น มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี (มัชฌิมะ-ตรี) ซึ่งเป็นชั้นที่ 4 ของหลักสูตรอภิธรรมบัณฑิตนะครับ แต่จะอ่านของชั้นนี้ให้เข้าใจก็คงต้องมีพื้นฐานจากชั้นก่อนหน้านั้นก่อนนะครับ คืออภิธรรมมีทั้งหมด 9 ระดับชั้น ตั้งแต่ จูฬ-ตรี, จูฬ-โท, จูฬ-เอก, มัชฌิม-ตรี, มัชฌิม-โท, มัชฌิม-เอก, มหา-ตรี, มหา-โท, มหา-เอก

    ลองคุยกับคนขายดูก็แล้วกันนะครับว่าควรอ่านเล่มไหนเป็นพื้นฐานก่อนบ้าง ผมอ่านมาหลายปีแล้วจำรายละเอียดของแต่ละชั้นไม่ได้แล้วครับ ถ้ามีเวลามากพอก็ซื้อมาอ่านทั้ง 9 ชั้นเลยก็ได้ครับ จะเข้าใจเรื่องสภาวะจิตได้ดีขึ้น ผมอ่านจบ 9 ชั้นแล้วได้ข้อสรุปสั้นๆ ว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" ซึ่งผมคิดว่าเป็นพื้นฐานของธรรมะทั้งหมด รวมทั้งของธรรมชาติทั้งหมดด้วยครับ

    สำหรับในพระไตรปิฎกนั้นก็จะกระจัดกระจายอยู่ในพระอภิธรรมปิฎกนะครับ โดยเฉพาะในอภิธรรมปิฎก เล่ม 1 ภาค 1-2 ธรรมสังคณี ซึ่งจะต้องจับความจากส่วนต่างๆ มาวิเคราะห์ และประมวลเอาเองครับ ไม่สะดวกเหมือนในหนังสือเรียน

  2. เรื่องลูกชายคนที่ 2 ที่จัดเป็นเด็กปัญญาอ่อนนั้น ก็คงต้องพยายามยกสภาวะจิตของเขาให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ เช่น ชักชวนให้เขาให้ทาน ฝึกให้เขาเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่เห็นแก่ตัว ให้ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ ให้แผ่เมตตาอยู่เสมอ ให้นั่งสมาธิเท่าที่จะมีกำลังทำได้ ฝึกให้เขาคิดโดยใช้เหตุผลให้ได้มากที่สุด ให้ฟังธรรมตามโอกาส ฯลฯ

    ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจ พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้จิตใจเขาตกต่ำเศร้าหมองนะครับ และพยายามสอนให้เขามีสติ และปล่อยวางเมื่อพบกับเรื่องที่ไม่ดี ให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจไว้รับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันต่างๆ เอาไว้ด้วยครับ สอนให้เขารู้ว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะทำใจไม่ได้เมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นมาถึงก็เป็นได้ครับ

    บุญที่จะส่งผลให้เป็นผู้มีปัญญานั้นมีหลายอย่างครับ เช่น การบริจาคหนังสือหรือสิ่งประเทืองปัญญา โดยเฉพาะหนังสือธรรมะและพระไตรปิฎก การฟังธรรม การอ่านหนังสือธรรมะ การสนทนาธรรม การให้ธรรมะเป็นทาน การไม่ดูถูกผู้อื่นในเรื่องสติปัญญา การไม่เสพของมึนเมาอันทำให้ขาดสติ การฝึกให้มีสติอยู่เสมอ การทำสมาธิ และที่สูงที่สุดก็คือการเจริญวิปัสสนานะครับ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

ธัมมโชติ


การเกิดดับของวิญญาณและการหลุดพ้น

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับ


คำถาม

Subject: ปัญหา

เรียน คุณ ธัมมโชติ,

ผมมีปัญหาเรียนถามดังนี้
  1. ผมอ่านเรื่อง เรื่องของการเกิดใหม่ (ในหมวดธรรมทั่วไป - ธัมมโชติ) ในเว็บ เขียนไว้ทำนองว่า วิญญาณ เกิดดับตลอดเวลา วิญญาณที่ไปเกิดก็เป็นวิญญาณใหม่ที่มีวิญญาณเก่าสืบทอดสภาวะ

    ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เราตั้งใจทำให้ใจเราหลุดพ้น ทำความดีในชาตินี้ ก็เพื่อให้วิญญาณใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัจจุบัน ได้มีโอกาสหลุดพ้นในชาติต่อไปเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราไม่ควรยึดถือแม้แต่วิญญาณของเราในชาตินี้ว่าเป็นของเราใช่ไหมครับ

  2. จากข้อ 1. ทำให้คิดว่าท้ายที่สุดวิญญาณทุกดวงจะไปอยู่ที่จุดเดียวกันคือนิพพานหรือครับ และถ้าเป็นเช่นนั้น วิญญาณเกิดมาเพืออะไรครับ
ขออภัยถ้าข้อความสับสนไปครับ ด้วยความเคารพและขอบพระคุณอย่างสูง


ตอบ

เรียน คุณ .....

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

สำหรับคำถามที่ถามมานั้น ผมขอตอบดังนี้ครับ
  1. วิญญาณมีการเกิดดับสืบทอดต่อเนื่องอย่างรวดเร็วตลอดเวลาครับ (ในเวลา 1 วินาที วิญญาณเกิดขึ้นแล้วดับไปสืบทอดกันนับครั้งไม่ถ้วน) โดยวิญญาณที่เกิดภายหลังมีวิญญาณที่ดับไปก่อนหน้านั้นเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงกล่าวไม่ได้ว่าวิญญาณใหม่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัจจุบันนะครับ เพราะวิญญาณใหม่จะเป็นตัวสืบทอดสภาวะต่างๆ ของวิญญาณที่ดับไปก่อนหน้านั้น จนเกือบเหมือนกับเป็นวิญญาณอันเดียวกัน โดยความเป็นจริงแล้วจะทำให้รู้สึกว่าเป็นวิญญาณเดียวกันเลยก็ว่าได้ครับ

    ดังนั้นการสร้างเหตุปัจจัยในปัจจุบันเพื่อความหลุดพ้นในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะจะทำให้กระแสแห่งการเกิดดับของวิญญาณกระแสนี้พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิงได้ในอนาคตนะครับ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็จะต้องจมอยู่ในกองทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่นไปอย่างไม่จบสิ้น

    และแน่นอนครับว่าโดยความจริงแล้ว เราไม่ควรยึดถือสิ่งใดๆ เลยว่าเป็นของเรา รวมทั้งวิญญาณในขณะปัจจุบันและในอดีตด้วยครับ เพราะไม่มีอะไรเลยที่เมื่อยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

  2. สำหรับเรื่องที่ว่าท้ายที่สุดวิญญาณทุกดวงจะไปอยู่ที่จุดเดียวกันคือนิพพานหรือไม่นั้น ผมระลึกไม่ได้ว่ามีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่นะครับ และอัธยาศัยของแต่ละคนก็ต่างกัน ดังนั้นวิญญาณบางกระแสก็อาจจะมัวเพลิดเพลินกับโลกอยู่จนไม่สนใจพระนิพพานก็ได้นะครับ สิ่งที่จะสามารถสรุปได้ก็เพียงว่า พระนิพพานเป็นจุดที่สมควรที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวงนะครับ

    ข้อที่ว่าวิญญาณเกิดมาเพื่ออะไรนั้น ก็ขอตอบว่าเกิดมาเพื่อสนองตัณหา (ความทะยานอยากนะครับ) คือตอบสนองความยินดีพอใจ ความเพลิดเพลินในสิ่งต่างๆ เช่น ในรูปสวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสที่นุ่มนวลสบาย หรือแม้แต่ความเพลิดเพลินในสมาธิระดับต่างๆ (เพราะถ้าสิ้นตัณหาทั้งปวงแล้ว ก็จะหมดเหตุปัจจัยให้วิญญาณในภพใหม่เกิดขึ้นอีกต่อไปนะครับ) โดยมีอวิชชา (คือความไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุแห่งทุกข์ ในความดับแห่งทุกข์ และในทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง) เป็นเครื่องห่อหุ้มปกคลุมจิตเอาไว้ ทำให้มืดมนต่อทางพ้นทุกข์ครับ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

ธัมมโชติ


กะเทยกับการบรรลุธรรม

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้ถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับ


คำถาม

ขอความเห็นจากคุณธัมมโชติที่มีต่อเพื่อนร่วมโลกที่เป็นเกย์ ในพระไตรปิฎกมีที่ไหนที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง คุณธัมมโชตติคิดว่าโอกาสที่เขาจะบรรลุธรรมมีน้อยกว่าคนอื่นหรือไม่

สงสัย


ตอบ

เรียน คุณสงสัย

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

สำหรับคำถามที่ถามมานั้น ผมขอตอบดังนี้ครับ
  1. ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้แต่เพียงว่าการเกิดเป็นกะเทยนั้นเป็นผลของกรรม คือ การคบชู้ภรรยาผู้อื่นครับ (ดูรายละเอียดได้ใน พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า : ๓๗๗ ข้อ : ๑๒๖๐)

    เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกวันนี้มีการผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดทางกาม) กันมากขึ้น ในขณะเดียวกันคนที่เป็นกะเทย รวมทั้งคนที่มีความผิดปรกติทางเพศอื่นๆ ก็มีปรากฏให้เห็นกันมากขึ้นเช่นกันนะครับ

  2. ในส่วนของอรรถกถา (การอธิบายขยายความพระไตรปิฎก โดยอาจารย์สมัยหลังพุทธกาล เช่น พระพุทธโฆสะ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค เมื่อ พ.ศ. 900 กว่า เป็นต้น) มีกล่าวเอาไว้ว่า

    ผู้ที่เป็นกะเทยนั้นปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันติรณจิต (อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลวิปากจิต) เช่นเดียวกับคนที่เป็นบ้า เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก แต่กำเนิด ซึ่งปฏิสนธิจิตประเภทนี้เป็นประเภทที่แย่ที่สุดที่เกิดเป็นคนได้ครับ (ประเภทที่แย่กว่านี้จะเป็นอกุศลวิปากจิต ทำให้เกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน) คำว่าแย่ที่สุดนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเลวนะครับ แต่หมายถึงคุณภาพของจิต คือกลุ่มของปฏิสนธิจิตที่ดีที่สุดนั้นจิตจะประกอบด้วยเหตุ 3 ซึ่งเรียกว่าติเหตุกบุคคล คืออโลภเหตุ (ความไม่โลภ คือสภาพที่สละออก เช่น การให้ทานนะครับ) อโทสเหตุ (ความไม่โกรธ คือสภาพจิตที่มีเมตตา) อโมหเหตุ (ความไม่หลง คือมีปัญญา) กลุ่มของปฏิสนธิจิตที่อยู่ในระดับกลางจิตจะประกอบด้วยเหตุ 2 เรียกว่าทวิเหตุกบุคคล คือมีอโลภเหตุและอโทสเหตุเท่านั้น ไม่มีอโมหะเหตุครับ คนกลุ่มนี้จึงมีปัญญาน้อยกว่ากลุ่มแรกแต่ไม่ใช่ปัญญาอ่อนนะครับ สภาพร่างกายและจิตใจก็เป็นคนปกติธรรมดาทั่วไปครับ ส่วนกลุ่มที่แย่ที่สุดก็คือกลุ่มอเหตุกบุคคลซึ่งปฏิสนธิจิตไม่มีทั้งอโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ จิตจึงมีกำลังอ่อน เมื่อจิตมีกำลังอ่อนจึงสร้างร่างกายได้ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดเป็นคนพิการ บ้า ใบ้ บอด หนวกแต่กำเนิดครับ ซึ่งใน 3 กลุ่มนี้จะมีเฉพาะกลุ่มแรกคือติเหตุกบุคคลเท่านั้นครับที่สามารถได้ฌาน อภิญญา มรรคผลนิพพาน

    คนที่ปฏิสนธิด้วยจิตประเภทอเหตุกจิตนี้ ถ้าทำสมาธิก็จะไม่ได้ถึงขั้นฌาน ถ้าทำวิปัสสนาก็จะไม่ถึงขั้นบรรลุมรรคผล คือจะได้เพียงแค่สมาธิ หรือวิปัสสนาปัญญาขั้นต้นๆ เท่านั้นครับ (แต่ก็จะเป็นเหตุปัจจัยที่ดีให้มีปฏิสนธิจิตที่ดีขึ้น ในชาติต่อๆ ไปนะครับ)

  3. สำหรับความเห็นส่วนตัวนั้นผมคิดว่าคนประเภทนี้จะมีความกดดันในใจสูง อันเนื่องมาจากความขัดแย้งภายในใจเพราะร่างกายและจิตใจไม่เหมาะสมกัน และความกดดันที่มาจากสังคมรอบข้างนะครับ

    ความกดดันต่างๆ นี้ จะทำให้จิตใจไม่ปลอดโปร่ง ประณีต เบาสบายอย่างที่ควรจะเป็นนะครับ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา เพราะสมาธิและวิปัสสนาปัญญาขั้นสูงจะเกิดขึ้นได้เมื่อจิตใจมีความปลอดโปร่ง ประณีต เบาสบายตามสมควรครับ

    แต่ถ้านำเอาความทุกข์ ความกดดันเหล่านี้ รวมทั้งสภาวะต่างๆ ที่เป็นอยู่มาเป็นข้อมูลในการพิจารณาประกอบการเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เห็นทุกข์ เห็นโทษภัยของการเกิด เห็นความไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามใจปรารถนาของสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาปัญญาได้เช่นกันครับ

  4. ผมคิดว่าเราไม่ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องความยากง่ายในการบรรลุธรรม ของแต่ละคนให้มากนักนะครับ แต่ทุกคนควรจะทำความเพียรให้เต็มที่มากกว่า เพราะไม่ว่ากับคนประเภทไหน ถ้ามีความเพียรที่ถูกทางแล้ว ความเพียรนั้นย่อมจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอนครับ

    ถึงแม้คนที่ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้ ก็จะเป็นเหตุปัจจัยให้บรรลุได้ง่ายขึ้นในชาติต่อๆ ไป และยังส่งผลให้เป็นผู้มีปัญญามากขึ้นทั้งในชาติปัจจุบัน และชาติต่อๆ ไปอีกด้วยครับ และอย่างน้อยความปลอดโปร่ง ประณีต เบาสบายของจิต การมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น หน้าตาที่ผ่องใส อันเป็นผลมาจากความเพียรนั้นก็จะเป็นอานิสงส์ที่เห็นได้ในปัจจุบันอยู่แล้วครับ

    แต่ถ้ามัวแต่ท้อถอยหรือมัวแต่ประมาทอยู่ ชาตินี้ก็ไม่ได้รับอานิสงส์จากความเพียรใดๆ และชาติต่อๆ ไป ก็อาจจะแย่ลงไปกว่าชาตินี้ก็เป็นได้นะครับ

ธัมมโชติ


สัมภเวสี และโอปปาติกะ

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับ


คำถาม

Subject: Thamma Question

เรียน คุณธัมมโชติ

สวัสดีครับ

ขอเรียนถามปัญหาดังนี้นะครับ

1. กรุณาอธิบายความหมายของ สัมภเวสี และ โอปปาติกะ ให้ทราบด้วยครับ
2. และทั้ง สัมภเวสี และ โอปปาติกะ จัดอยู่ในภพภูมิใดของ 31 ภพภูมินี้ครับ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


ตอบ

เรียน คุณ .....

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบปัญหาดังนี้ครับ
  1. สัมภเวสี คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะครับ (อริยบุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์) ในทุกภพภูมิ ซึ่งเป็นผู้ที่ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก สรุปง่ายๆ คือ ทุกชีวิตที่ยังต้องเกิดอีกนั่นเองครับ แต่คนไทยมักใช้ในความหมายว่าเป็นพวกเปรตซะมากกว่า

    โอปปาติกะ คือ ผู้ที่ผุดเกิด คือเกิดแล้วโตทันที ไม่ต้องเป็นไข่ หรือเป็นตัวอ่อนก่อน ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ให้กำเนิดครับ (เพียงแต่มีตัณหาในภพ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น) เมื่อเกิดก็ปรากฏเป็นร่างกายขึ้นมาเลย เมื่อตายก็ไม่มีซากเหลืออยู่ เช่น สัตว์นรก เปรตบางจำพวก อสุรกายบางจำพวก เทวดาบางจำพวกโดยเฉพาะเทวดาชั้นสูงๆ ทั้งหลาย รูปภูมิ อรูปภูมิ แต่คนไทยมักใช้เรียกพวกที่เป็นกายทิพย์ทั้งหมดนะครับ ทั้งที่กายทิพย์บางพวกมีกำเนิดชนิดอื่น เช่น อัณฑชะ ชลาพุชะ เป็นต้น

    (พวกกายทิพย์ในทุกกำเนิดมีชื่อเรียกรวมๆ ว่าอทิสสมานกาย คือเป็นกายละเอียด คนทั่วไปมองไม่เห็นครับ)

    กำเนิดมี 4 ชนิด คือ
    • อัณฑชะ เกิดในไข่ก่อนแล้วจึงฟักเป็นตัว เช่น นก ไก่
    • ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ แมว สุนัข
    • สังเสทชะ เกิดในยางเหนียว ตรงนี้มักยกตัวอย่างกันว่าเป็นพวกหนอนที่เกิดในที่ชื้นแฉะ ที่สกปรก (ซึ่งที่จริงเกิดจากไข่นะครับ) แต่ผมยังไม่ปักใจในส่วนนี้เพราะยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่คนเรายังไม่รู้จัก โดยเฉพาะในภพภูมิอื่น ซึ่งอาจเกิดจากยางเหนียวโดยตรงเลยก็ได้ สำหรับเวลานี้ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงการโคลนนิ่งมากกว่านะครับที่เป็นสังเสทชะที่คนสมัยนี้รู้จัก
    • โอปปาติกะ ผุดเกิด คือเกิดแล้วโตทันที

  2. สัมภเวสี อยู่ในแทบทุกภูมินะครับ ที่อาจจะยกเว้นก็คือ อกนิฏฐาภูมิ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของสุทธาวาสภูมิ 5 (สุทธาวาส เป็นภูมิที่มีเฉพาะอนาคามีบุคคลไปเกิดนะครับ) ซึ่งผู้ที่เกิดในอกนิฏฐาภูมิทั้งหมดจะบรรลุเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น ดังนั้น ผู้ที่เกิดในภูมินี้ทุกคนจึงมีชีวิตเป็นชาติสุดท้ายนะครับ

    ผู้ที่เกิดในภูมินี้แล้วแต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ คือยังเป็นอนาคามีบุคคลอยู่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้แน่ๆ นั้น ผมไม่ทราบว่าจะเรียกว่าเป็นสัมภเวสีด้วยหรือไม่นะครับ

    ผู้ที่เกิดในสุทธาวาสภูมิที่ 1 - 4 นั้น อาจจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นหรือไม่ก็ได้นะครับ ถ้าไม่บรรลุก็จะไม่เกิดซ้ำภูมิเดิม และไม่เกิดในภูมิที่ต่ำลงไป แต่จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงอกนิฏฐาภูมินะครับ ดังนั้นอนาคามีบุคคลจึงเกิดอีกไม่เกิน 5 ชาติ เท่ากับจำนวนของชั้นสุทธาวาส (ดูรายละเอียดในเรื่องภพภูมิในพระพุทธศาสนา ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ)

    โอปปาติกะ มีกระจายอยู่หลายภูมิครับ เช่น นรก เปรตบางพวก อสุรกายบางพวก เดรัจฉานที่เป็นกายทิพย์บางพวก ว่ากันว่ามนุษย์ยุคต้นๆ ก็เป็นโอปปาติกะ เทวดาชั้นต่ำบางจำพวก เทวดาชั้นสูงทั้งหมด รูปภูมิ อรูปภูมิ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

ธัมมโชติ


การสิ้นสุดของอกุศลวิบาก

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับ


คำถาม

Subject: Thamma Question

เรียน คุณธัมมโชติ

สวัสดีครับ ขอเรียนถามปัญหาดังนี้นะครับ

การที่อกุศลกรรมกำลังให้ผลเป็นวิบากอยู่ และมีกุศลกรรมที่เคยทำไว้อย่างมาก มาตัดรอนอกุศลกรรมไป หมายความว่า อกุศลกรรมที่ให้ผลเป็นวิบากอยู่จะถูกยุติลงเพียงแค่นั้น ไม่ต้องชดใช้ต่อ ใช่หรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


ตอบ

เรียน คุณ .....

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ

ขอตอบปัญหาดังนี้ครับ

อกุศลกรรมที่ยังให้ผลเป็นวิบากไม่สมบูรณ์จะยุติลงไปอย่างสิ้นเชิงและถาวรได้ก็ในขณะปรินิพพานของพระอรหันต์เท่านั้นครับ แม้พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังหนีผลของกรรมไม่พ้น วิบากที่ยังเหลืออยู่นั้นจะรอให้ผลในโอกาสต่อๆ ไปครับ ซึ่งจะให้ผลอย่างเต็มที่จนรับรู้ได้ชัดเจน หรือจะให้ผลทีละเล็กละน้อยจนแทบไม่รู้สึก เพราะมีกรรมดีอื่นๆ มาชดเชยก็ได้

เช่น กรรมที่หนักจนทำให้เกิดในนรกนั้น ครั้นกรรมดีมาตัดรอนทำให้พ้นจากนรกนั้น ไปเกิดในภพภูมิที่สูงขึ้น แต่เศษของกรรมที่เหลืออยู่ก็ยังตามมาส่งผลได้อีกนะครับ เช่นกรรมจากการเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่นที่ทำไว้หนักจนตกนรก พอพ้นจากนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เศษของกรรมก็จะทำให้ถูกตอน หรือทำให้ลูกอัณฑะเน่าจนเป็นหมัน พอพ้นจากเดรัจฉานไปเกิดเป็นมนุษย์ เศษของกรรมที่เหลือก็จะทำให้เป็นกะเทย เป็นต้น เรื่องนี้มีในพระไตรปิฎกด้วยครับ (ดูรายละเอียดได้ใน พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า : ๓๗๗ ข้อ : ๑๒๖๐)

ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ

ธัมมโชติ

7 ความคิดเห็น :

  1. หมอฉัตร เนติ ฯ21 พฤศจิกายน 2561 เวลา 19:53

    ตามที่พระอาจารย์บอกในคำตอบเรื่องสัมภเวสีว่า สังเสทชะ เกิดในยางเหนียว ตรงนี้มักยกตัวอย่างกันว่าเป็นพวกหนอนที่เกิดในที่ชื้นแฉะ ที่สกปรก (ซึ่งที่จริงเกิดจากไข่นะครับ) แต่ผมยังไม่ปักใจในส่วนนี้เพราะยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่คนเรายังไม่รู้จัก โดยเฉพาะในภพภูมิอื่น ซึ่งอาจเกิดจากยางเหนียวโดยตรงเลยก็ได้ สำหรับเวลานี้ผมคิดว่าน่าจะหมายถึงการโคลนนิ่งมากกว่านะครับที่เป็นสังเสทชะที่คนสมัยนี้รู้จัก
    มีครับ ตือพวกแบคทีเรียซึ่งเกิดจากการแบ่งตัวเป็นสองเซลล์ และสัตว์ชั้นต่ำอีกมากครับที่ไม่ได้เกิดจากไข่

    ตอบลบ
  2. หมอฉัตร เนติ ฯ21 พฤศจิกายน 2561 เวลา 19:57

    ในกะระณียะเมตตาสูตร
    ทำไมต้องพูดทั้งภูตา วา สัมภเวสี วา
    ภูตา แปลว่าผู้ที่เกิดแล้ว สัมภเวสีแปลว่า ผู้แสวงหาการเกิด ทุกสัตว์ที่ไม่ใช่อรหันต์ ก็ต้องเป็นทั้งภูต และสัมภเวสี
    ทำไมต้องจำแนกเป็นสองอย่างนี้ครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สำหรับความแตกต่างของคำว่า "ภูต" กับคำว่า "สัมภเวสี" นั้น พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หรือ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ผ-พ-ฟ-ภได้อธิบายไว้ดังนี้ครับ

      ภูต, ภูตะ 1. สัตว์ผู้เกิดแล้ว หรือเกิดเสร็จไปแล้ว, นัยหนึ่ง หมายถึงพระอรหันต์ เพราะไม่แสวงหาภพเป็นที่เกิดอีก อีก นัยหนึ่งหมายถึงสัตว์ที่เกิดเต็มตัวแล้ว เช่น คนคลอดจากครรภ์แล้ว ไก่ออกจากไข่แล้ว เป็นต้น ต่างกับ สัมภเวสี คือ สัตว์ผู้ยังแสวงหาที่เกิด ซึ่งได้แก่ปุถุชนและพระเสขะผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดอีก หรือสัตว์ในครรภ์และในไข่ที่ยังอยู่ ระหว่างจะเกิด 2. ผี, อมนุษย์ 3. ภูตรูป คือ ธาตุ ๔ มักเรียก มหาภูต

      ที่ใช้ทั้ง 2 คำ ก็น่าจะเจตนาให้ครอบคลุมทุกชีวิตนะครับ

      ลบ
    2. อีกเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้นะครับ ก็คือคนแต่ละคนมีมุมมองหรือความรู้สึกต่อคำศัพท์แต่ละคำต่างกันออกไปไม่มากก็น้อย การใช้คำ 2 คำ มาเสริมกันก็น่าจะเป็นการย้ำให้เห็นว่าหมายถึงทุกชีวิตจริงๆ นะครับ

      อีกกรณีที่คล้ายกัน แต่เป็นการใช้คำเดิมซ้ำกันเลย ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำให้เกิดความหนักแน่นของจิตนะครับ เช่น การกล่าวบท "นโมตัสสะ ..." ที่กล่าวซ้ำเดิมถึง 3 รอบ รวมถึงบทอื่นๆ อีกหลายบทด้วยครับ

      ลบ
  3. ที่ท่านตอบในคำถามด้านบนว่า

    โอปปาติกะ มีกระจายอยู่หลายภูมิครับ เช่น นรก เปรตบางพวก อสุรกายบางพวก เดรัจฉานที่เป็นกายทิพย์บางพวก ว่ากันว่ามนุษย์ยุคต้นๆ ก็เป็นโอปปาติกะ เทวดาชั้นต่ำบางจำพวก เทวดาชั้นสูงทั้งหมด รูปภูมิ อรูปภูมิ

    แสดงว่า มีเทวดาชั้นต่ำ สัตว์นรก บางพวกเกิดจากครรภ์และเบ่งคลอดเองด้วย น่าสนใจมากครับ มีตัวอย่างไหมครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ

    1. สัตว์นรกทั้งหมดเป็นโอปปาติกะนะครับ (ข้อความในคำตอบก่อนหน้าที่ยกมาถามนั้น ผมใช้คำว่า "นรก" ไม่มีคำว่า "บางพวก" ต่อท้ายนะครับ)

      ส่วนเทดาชั้นต่ำ คือพวกภุมมเทวดา (เทวดาภาคพื้นดิน) เช่น รุกขเทวดา (เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้) หรือเทวดาที่อยู่ตามบ้านคน นั้นมีกำเนิดได้ทั้ง 4 อย่างเลยครับ คือ
      1. อัณฑชะ เกิดในไข่
      2. ชลาพุชะ เกิดในครรภ์
      3. สังเสทชะ เกิดในยางเหนียว
      4. โอปปาติกะ ผุดเกิด คือเกิดแล้วโตทันที

      เรื่องนี้มีบรรยายเอาไว้ใน อรรถกถา วิภังคปกรณ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่ขยายความพระไตรปิฏก (พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์) มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนี้ครับ

      ------------------------------------------------------------
      จริงอยู่ บรรดาการเกิดด้วยสามารถแห่งคติเหล่านั้น

      นิรเย ภุมฺมวชฺเชสุ เทเวสุ จ น โยนิโย
      ติสฺโส ปุริมิกา โหนฺติ จตสฺโสปิ คติตฺตเย

      กำเนิด ๓ ข้างต้น (ชลาพุชะ อัณฑชะ สังเสทชะ) ย่อมไม่มีในนรก
      และไม่มีในพวกเทพทั้งหลายเว้นภุมมเทวดา
      กำเนิด ๔ ย่อมมีในคติ ๓.

      ในคาถานั้น ด้วย จ ศัพท์ ในบทว่า เทเวสุ จ นี้ กำเนิด ๓ ข้างต้น พึงทราบว่า ไม่มีในนิชฌามตัณหิกเปรต เหมือนไม่มีในนรกและในเทพทั้งหลายเว้นภุมมเทวดา เพราะสัตว์เหล่านั้นเป็นโอปปาติกะกำเนิดอย่างเดียว แต่กำเนิด ๔ มีในคติ ๓ ที่เหลือกล่าวคือสัตว์เดรัจฉาน ปิตติวิสัย (เปรต) และมนุษย์ และพวกภุมมเทวดาที่เว้นไว้ในเบื้องต้น.
      ------------------------------------------------------------

      ตัวอย่างที่ระบุตัวบุคคลอย่างชัดเจนว่าเป็นเทวดาที่เกิดจากครรภ์นั้นผมจำไม่ได้นะครับว่ามีรึเปล่า แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากก็คือเทวดาซึ่งสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่บรรยายเอาไว้ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙ นะครับ

      เพราะในเรื่องนี้มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า "เทวดานั้นฟังคำของเศรษฐีผู้เป็นโสดาบันอริยสาวกแล้ว ไม่อาจดำรงอยู่ได้ จึงพาทารกทั้งหลายออกไป" น่าจะตีความได้ว่าเทวดานี้มีลูกเล็กๆ อยู่ด้วย ซึ่งก็น่าจะหมายถึงลูกเหล่านั้นเป็นเทวดาที่เกิดจากครรภ์นะครับ เพราะถ้าเป็นโอปปาติกะน่าจะโตทันที ไม่น่าเป็นทารก

      ธัมมโชติ

      ลบ