ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่
หน้านี้เป็นการรวมคำถามคำตอบหมวดบทวิเคราะห์ที่มีผู้สนใจถามเข้ามานะครับ
รูป - การเกิดและการละ
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับคำถาม
Subject: ขอรายละเอียดครับ
ที่มาที่ไปของการเกิดรูป(กาย)เป็นมาอย่างไร?
ทำไมสัตว์โลกจึงยึดอย่างเหนียวแน่นหาทางออกอยาก และเป็นทุกข์....?
วิธีการพิจารณาเพื่อละรูป.....และผลการทดสอบ....เป็นอย่างไร?
ตอบ
ขอบคุณมากครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ
ผมขอตอบคำถามเป็นข้อๆ ดังนี้นะครับ
1.) ที่มาที่ไปของการเกิดรูป(กาย)เป็นมาอย่างไร?
- 1.1) ข้อนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าตามคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ชีวิตในวัฏสงสารสามารถเกิดได้ในหลายภพภูมิ ซึ่งแบ่งได้เป็น 31 ภูมิ ใน 31 ภูมินี้ 27 ภูมิจะมีรูป (กาย) อีก 4 ภูมิจะมีเฉพาะนามคือเจตสิก+จิต = เวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ (จิต) โดยไม่มีรูป (กาย) อยู่เลยนะครับ (ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องขันธ์ 5 และเรื่องภพภูมิในพระพุทธศาสนา หมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ)
- 1.2) ในชาติไหนใครจะไปเกิดในภูมิใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพจิตตอนใกล้จะตายเป็นสำคัญนะครับ คือถ้าจิตในตอนนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร เมื่อตายแล้วก็จะไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่มีลักษณะอย่างเดียวกันนั้น สำหรับพระอรหันต์นั้นเนื่องจากไม่มีความยินดีในการเกิดแล้ว เมื่อตายไปแล้วจึงไม่มีเชื้อให้ต้องเกิดอีกครับ (ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องปฏิจจสมุปบาท หมวดธรรมทั่วไป และเรื่องสังโยชน์ 10 หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบนะครับ)
-
1.3) นั่นคือ ที่มาที่ไปของการเกิดรูป (กาย) ก็ประกอบด้วย 2 ส่วนนะครับ คือ
- 1. สภาพจิต (ซึ่งก็คือตัณหาในภพ) ในขณะที่ใกล้จะตายนั้น เขามีความยินดีในการมีรูป (กาย) อยู่ด้วย หรือยินดีในการเห็นรูป ได้กลิ่น ลิ้มรส มีสัมผัสทางกาย ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้กายเกิดขึ้นมาครับ
- 2. เป็นธรรมชาติของภพภูมิที่เขาไปเกิดนั้นเอง ที่จะต้องมีรูป (กาย) อยู่ด้วย ส่วนเมื่อไปเกิดแล้วจะมีรูปกายอย่างไรนั้น ก็ขึ้นกับธรรมชาติของภพภูมินั้น ประกอบกับกรรมที่เขาได้ทำมานะครับ
- ที่เป็นเช่นนั้นเพราะความรู้สึกว่ารูปเป็นเรา หรือเป็นของๆ เรา หรือเป็นตัวเป็นตนของเรา ความยึดมั่นถือมั่นจึงเกิดขึ้นมานะครับ และความรู้สึกนี้มีมานานนับชาติไม่ถ้วนแล้ว จึงฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึกไม่อาจทำให้หมดไปได้ง่ายๆ (ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องวิปัสสนา-หลักการพื้นฐาน หัวข้อกิเลสเกิดจากอะไร หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบนะครับ)
- ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องวิปัสสนา-หลักการพื้นฐาน หัวข้อทุกข์เกิดจากอะไร หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบนะครับ
-
ขอให้ดูรายละเอียดในทุกๆ เรื่องในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา)
ประกอบนะครับ ที่สำคัญสำหรับเรื่องรูปก็คือ การสังเกต + พิจารณา = ให้เห็นความทุกข์
+ โทษ + ความน่าเบื่อหน่ายในการบำรุงรักษา + ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน + ความแปรปรวนไปตลอดเวลา
+ ความไม่อยู่ในอำนาจ + ไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา + ความเป็นที่เกิดของสิ่งสกปรก
+ ความเป็นรังของโรคร้ายนานาประการ + ฯลฯ ของรูป หรือที่มีสาเหตุมาจากรูป
อันที่จริงแล้วร่างกายนี้ก็มีเฉพาะผิวหนัง+เส้นผม+คิ้ว เท่านั้นนะครับที่พอจะมีความน่าดูอยู่บ้าง แต่พอลอกผิวหนังออกแล้ว ก็จะเหลือแต่สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยง รวมทั้งของเน่าเสียต่างๆ อยู่เท่านั้นนะครับ
ลองคิดดูนะครับว่าสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปดังใจปรารถนา แถมเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์นานาประการอย่างนี้ ควรหรือที่จะเรียกว่าเรา หรือของๆ เรา หรือตัวตนของเรา และสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน แปรปรวนไปตลอดเวลาอย่างนี้ ควรหรือที่จะยึดมั่นถือมั่น การยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจ แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลา ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่หวังได้ !!!
แต่ความจริงแล้วผมไม่แนะนำให้ละรูปเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ ที่ถูกแล้วจะต้องดูว่าผู้ปฏิบัติรู้สึกว่าส่วนไหนคือเรา (อาจจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือทั้งหมดรวมกันเลยก็ได้นะครับ) แล้วตามดูตามสังเกตส่วนนั้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้เห็นธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก็จะคลายความยึดมั่นในสิ่งนั้นไปได้เรื่อยๆ เองครับ และเมื่อละ "เรา" ได้แล้ว "ของๆ เรา" ก็จะไม่มีไปเองครับ
เมื่อปฏิบัติไปมากขึ้นๆ ความรู้สึกว่าเป็นเราอาจจะย้ายจุดไปได้นะครับ เช่น จากรูป > สังขาร > วิญญาณ เป็นต้น ก็ขอให้ย้ายตำแหน่งการสังเกตตามไปเรื่อยๆ นะครับ
นอกจากนี้ ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องพระสารีบุตร หมวดตัวอย่างการบรรลุธรรม ประกอบด้วยนะครับ.
- 5.1) ผลทั่วไปนั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตนนะครับ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานได้ โดยดูที่เรื่องอริยบุคคล 8 ประเภทและการละกิเลส หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบครับ ที่สำคัญคือดูที่ความยึดมั่นถือมั่นที่เหลืออยู่ และกิเลสต่างๆ ที่มีอยู่นะครับ
- 5.2) สำหรับเรื่องรูปโดยเฉพาะนั้น ก็ดูที่ความยึดมั่นถือมั่นในรูปหรือความยินดีในรูปหรือการมีรูป หรือความรู้สึกว่ารูปเป็นเรา หรือของๆ เรา หรือเป็นตัวเป็นตนของเรา เป็นสำคัญครับ
หวังว่าจะให้ความกระจ่างได้ตามสมควรนะครับ ถ้ายังไม่กระจ่าง หรืออยากทราบอะไรเพิ่มเติม ก็ขอเชิญถามมาใหม่ได้ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ผมยินดีตอบให้ทุกฉบับ
ธัมมโชติ
เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้ครับคำถาม
Subject: สวัสดีครับ
ผมเข้าไปอ่านมา ใน web อะครับ แต่ไม่ค่อยเข้าใจ บทความนี้ ครับ (เรื่องพระวักกลิ (อีกรูปหนึ่ง) ในหมวดตัวอย่างการบรรลุธรรม - ธัมมโชติ) ช่วยอธิบายหน่อยครับ
การฆ่าตัวตายชนิดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ คือการฆ่าตัวตายที่ไม่ต้องเกิดใหม่อีก ซึ่งมีภิกษุหลายรูปได้ทำเช่นนี้ โดยที่ส่วนใหญ่จะอาศัยการพิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นก่อนตาย เพื่อละความยินดีพอใจในการเกิดใหม่ รวมถึงความยินดีพอใจและความยึดมั่นถือมั่น ในรูปนามทั้งหลายลงไป เพราะเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากรูปนามนั้น
ผมงงตรงที่ว่า พอพระภิกษุ พิจารณาทุกขเวทนา แล้ว ก็ฆ่าตัวตาย เลยเหรอครับ ที่ไม่บาปเพราะ ก่อนตาย จิตไม่ได้เศร้าเหรอ ครับ
ขอบคุณมากครับ
ตอบ
เรียน คุณ...
ขอบคุณครับที่มีความสนใจในเว็บไซต์ธัมมโชติ
สำหรับคำถามที่ถามมานั้น ผมขอตอบอย่างนี้ครับ
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจเรื่องบาปกับบุญก่อนนะครับ
- บุญคือการชำระจิตให้ผ่องใส (จากกิเลส)
- บาปคือการทำให้จิตเศร้าหมอง (ด้วยกิเลส - ความโลภ ความโกรธ ความหลง - ขอให้ดูรายละเอียดของจิตแต่ละประเภทในเรื่องลำดับขั้นของจิต ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบนะครับ)
คนทั่วไปก่อนฆ่าตัวตายนั้น จิตจะน้อมไปในทางโทสะ (ความโกรธ เศร้า หดหู่ หมดหวัง กลัว) (ดูเรื่องโทษของการฆ่าตัวตาย ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบนะครับ) แต่การฆ่าตัวตายของภิกษุในกรณีที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนินั้น ผมเข้าใจว่าท่านคงไม่น้อมใจไปในทางโทสะ แต่น้อมใจไปในความเห็นโทษภัยของรูปนาม หรือร่างกาย/จิตใจ เพื่อที่จะละคลายความยึดมั่นในรูปนามทั้งหลายลงไปนะครับ ซึ่งจิตในลักษณะนี้ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นวิปัสสนาปัญญาซึ่งเป็นมหากุศลจิตครับ
และเมื่อทุกขเวทนาอันแรงกล้าก่อนที่ท่านจะสิ้นลมบังเกิดขึ้น ท่านก็ไม่ปล่อยให้โทสะเกิดขึ้น (คือไม่รู้สึกหวาดกลัว หรือทุกข์ทรมานใจใดๆ เลย จะมีก็เพียงทุกข์ทางกายเท่านั้นนะครับ) และยังใช้ประโยชน์จากทุกขเวทนาทางกายนั้น ในการตัดความเยื่อใย ยินดีในรูปนามทั้งหลาย และชีวิตในวัฏสงสารลงไปด้วยครับ ซึ่งจิตของท่านในขณะเหล่านั้นย่อมจะเป็นบุญ เป็นกุศลอย่างยิ่ง ไม่ได้เป็นบาปเลยนะครับ
หวังว่าจะพอทำให้คุณ... หายงงได้บ้างนะครับ
ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยในเรื่องอื่นๆ อีก ก็เมล์มาถามได้เรื่อยๆ นะครับ ผมยินดีตอบให้ทุกฉบับ ไม่ต้องเกรงใจ
ธัมมโชติ
ขอเรียนถามว่า
ตอบลบ๑. เจ้ากรรมนายเวรในทางพระพุทธศาสนามีหรือไม่ ถ้ามีทำไมถึงมาตามติดมาทำร้ายเราได้
๒. จุดประสงค์และอานิสงค์ของการเดินจงกรม
ในสมัยพุทธกาลมีการเดินจงกรมหรือไม่
การเดินจงกรมที่ถูกวิธีต้องทำอย่างไร มีบางที่พาเดินไปในที่ขรุขระ มีกรวดหินเดินแล้วเจ็บเท้ามากทำให้ไม่มีสมาธิในการเดิน และเดินเร็วมาก ไม่ทราบว่าเป็นการเดินที่ถูกวิธีหรือไม่
สวัสดีครับ
ลบ๑. เจ้ากรรมนายเวรในทางพระพุทธศาสนามีหรือไม่ ถ้ามีทำไมถึงมาตามติดมาทำร้ายเราได้
>>> เรื่องเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรที่มีกล่าวถึงในพระพุทธศาสนา ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการจองเวรของนางยักษ์ชื่อกาลีและหญิงคนหนึ่ง ซึ่งในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๒๕ หน้า ๒๕ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ยมกวรรค มีข้อความดังนี้ครับ
๔. กาลียักขินีวัตถุ
เรื่องนางยักษ์ชื่อกาลี
(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่นางยักษ์ชื่อกาลีและหญิงคนหนึ่ง ดังนี้)
[๕] เพราะว่าในกาลไหน ๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้
ย่อมไม่สงบระงับด้วยเวร
แต่เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยการไม่จองเวร
นี้เป็นธรรมเก่า
รายละเอียดการจองเวรกันหลายภพหลายชาติของคู่เวรคู่นี้ อ่านได้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาซึ่งได้ขยายความเรื่องนี้เอาไว้ ตามลิ้งค์นี้ครับ เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี
สาเหตุที่เจ้ากรรมนายเวรสามารถตามมาทำร้ายเราได้นั้น ก็เทียบเคียงได้กับการอธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิของพระโพธิสัตว์ หรือการอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสาวกที่เป็นเอตทัคคะครับ คือด้วยแรงอธิษฐานหรือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ฝังอยู่ในใจนั้น ทำให้เมื่อเกิดในชาติต่อๆ ไป ความปรารถนาที่ยังฝังอยู่ในใจก็จะส่งผลให้มีจิตที่มุ่งมั่นในสิ่งที่ปรารถนานั้นต่อไปเรื่อยๆ และบำเพ็ญบุญบารมีจนกระทั่งสำเร็จตามที่หวังเอาไว้
การจองเวรก็เช่นเดียวกันครับ ความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนแรงอธิษฐานปรารถนาทำลายล้างผู้ที่สร้างความโกรธแค้นเอาไว้ให้เช่นเดียวกัน ดังเช่นตัวอย่างในลิ้งค์ข้างต้น
๒. จุดประสงค์และอานิสงค์ของการเดินจงกรม
ลบในสมัยพุทธกาลมีการเดินจงกรมหรือไม่
การเดินจงกรมที่ถูกวิธีต้องทำอย่างไร มีบางที่พาเดินไปในที่ขรุขระ มีกรวดหินเดินแล้วเจ็บเท้ามากทำให้ไม่มีสมาธิในการเดิน และเดินเร็วมาก ไม่ทราบว่าเป็นการเดินที่ถูกวิธีหรือไม่
>>> การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติตามปกติของภิกษุในสมัยพุทธกาลครับ แม้แต่พระจักขุบาลเถระภายหลังจากที่ท่านตาบอดสนิททั้ง 2 ข้างแล้ว ท่านก็ยังเดินจงกรมอยู่เสมอครับ
สำหรับจุดประสงค์ของการเดินจงกรมนั้น ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๓๕ หน้า ๓๙๑ พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ [๑๓.อัปปมัญญาวิภังค์] ๑.สุตตันตภาชนีย์ กล่าวไว้ดังนี้ครับ
[๕๑๙] ภิกษุเป็นผู้หมั่นประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ตลอดปฐมยามและปัจฉิมยาม เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดวัน
ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี
สำเร็จสีหไสยาสน์โดยการนอนตะแคงข้างขวา เท้าซ้อนเท้า มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้นตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี
ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดีด้วยการเดินจงกรม ด้วยการนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้หมั่นประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่นอยู่ตลอดปฐมยามและปัจฉิมยามด้วยประการฉะนี้
คำว่า "ธรรมที่กั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี" ก็คือนิวรณ์ 5 นั่นเองครับ
อานิสงส์ของการเดินจงกรม ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม ๒๒ หน้า ๔๑ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต [๑. ปฐมปัณณาสก์] ปัญจังคิกวรรค มีดังนี้ครับ
๙. จังกมสูตร
ว่าด้วยการเดินจงกรม
[๒๙] ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการเดินจงกรม ๕ ประการนี้
อานิสงส์แห่งการเดินจงกรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. เป็นผู้มีความอดทนต่อการเดินทางไกล
๒. เป็นผู้มีความอดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
๓. เป็นผู้มีอาพาธน้อย
๔. อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อยได้ง่าย
๕. สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรมตั้งอยู่ได้นาน
ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์แห่งการเดินจงกรม ๕ ประการนี้แล
เนื่องจากการเดินจงกรมนั้นเป็นการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว ดังนั้น สมาธิที่ได้จึงตั้งมั่นได้นานกว่าสมาธิจากการนั่งหลับตาครับ เพราะจะมีความคุ้นชินกับสิ่งเร้าต่างๆ มากกว่า
สำหรับรายละเอียดวิธีการเดินจงกรมนั้นไม่มีปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎกเลยครับ จึงยากที่จะบอกได้ว่าในสมัยพุทธกาลนั้นเดินอย่างไรกันแน่ แต่จุดประสงค์หลักของการเดินจงกรมก็คือการฝึกสติ สมาธิ และวิปัสสนาปัญญา จุดประสงค์รองก็เช่น แก้ง่วง ดังนั้น ถ้าเดินแล้วไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ก็ควรปรับปรุงแก้ไขวิธีการเดินครับ
การจะเดินแบบไหนก็ขึ้นกับวัตถุประสงค์และสภาวจิตในขณะนั้นด้วยครับ เช่น
- ถ้ากำลังฟุ้งซ่าน หรือง่วงนอน การเดินช้าๆ จิตก็จะหลุดได้ง่าย ก็ต้องเดินเร็วขึ้น หรือเดินในที่ๆ ยากลำบาก ต้องการการระมัดระวังที่มากขึ้น เช่น มีอุปสรรคกีดขวาง หรือเดินบนไม้คาน จิตก็จะจดจ่อกับการเดินได้ง่ายขึ้นครับ
- ถ้าจิตสงบดีแล้ว การเดินช้าๆ ก็จะทำให้ได้สมาธิที่ลึกขึ้นครับ
การเดินจงกรมในที่ขรุขระ มีกรวดหิน (เดินแล้วเจ็บเท้ามากทำให้ไม่มีสมาธิในการเดิน) และเดินเร็วมาก ตามที่ถามมานั้น อาจมีจุดประสงค์ในการสร้างขันติบารมี และวิริยบารมี รวมถึงการฝึกสติก็เป็นไปได้ครับ
การปฏิบัติทั้งการเดินจงกรมและการนั่งกรรมฐานนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็เหมาะกับผู้ปฏิบัติและสภาวจิตที่แตกต่างกันไป ไม่มีรูปแบบไหนที่เหมาะกับทุกคนทุกสภาวจิตครับ ต้องลองปฏิบัติแล้วปรับปรุงแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติแต่ละคนครับ แม้แต่ในคนคนเดียวกันแต่สภาวจิตต่างกันก็ยังอาจต้องใช้รูปแบบที่ต่างกันเลยครับ
มีผู้เคยบอกว่า ถ้าสมาทานถือศีลแปด แล้วทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผืดทุกข้อ ศีลขาด แต่ถ้าสมาทานถือศีลห้า ถ้าทำผิดข้อใดข้อหนึ่ง ถือว่าผิดเฉพาะข้อนั้น ถูกต้องไหมครับ
ตอบลบความแตกต่างของคำอาราธนาศีล 5 กับศีล 8 คือคำอาราธนาศีล 5 จะมีคำว่า "วิสุง วิสุง" ซึ่งแปลว่าแยก คือแยกส่วนหรือแยกข้ออยู่ด้วยครับ จึงเป็นการอาราธนาศีลแต่ละข้อเป็นส่วนๆ อิสระกัน เมื่อผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งจึงถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับศีลข้ออื่นๆ
ลบส่วนคำอาราธนาศีล 8 ไม่มีคำว่า "วิสุง วิสุง" จึงเป็นการสมาทานแบบองค์รวม เมื่อผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งจึงทำให้องค์รวมทั้งหมดขาดไปด้วยครับ