Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

ข้อควรรู้เรื่องศีล

ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่

เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย (ศีล)

ตามความในพระไตรปิฎก หมวดพระวินัย มหาวิภังค์ ปฐมภาค
(ดูเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ที่ เล่ม : ๑ หน้า : ๒๘)


ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติสิกขาบทแรก (พระวินัย หรือศีลข้อแรกในพระพุทธศาสนา) พระองค์ได้ตรัสประโยชน์ หรือสาเหตุที่ทรงบัญญัติพระวินัยไว้ ดังนี้ครับ

....... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
  • เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ (เพื่อความยอมรับ/เห็นด้วยของสงฆ์หมู่มาก - ธัมมโชติ)
  • เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ (เพื่อให้สังคมสงฆ์อยู่กันอย่างสงบสุข - ธัมมโชติ)
  • เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ (เพื่อไม่ให้พวกอลัชชี/ผู้ไม่ละอาย ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ตามใจ - ธัมมโชติ)
  • เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ (เพื่อไม่ให้พวกอลัชชีมารบกวนความสงบของผู้มีศีล - ธัมมโชติ)
  • เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ (เพื่อป้องกันกิเลสในปัจจุบัน - ธัมมโชติ)
  • เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ (เพื่อกำจัดกิเลสที่จะเกิดในอนาคต - ธัมมโชติ)
  • เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
  • เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
  • เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ (เพื่อให้ศาสนาตั้งมั่นอยู่ได้นาน - ธัมมโชติ)
  • เพื่อถือตามพระวินัย ๑ (เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายถือปฏิบัติ - ธัมมโชติ)
ถึงแม้ในพระสูตรนี้จะเน้นที่พระวินัย หรือศีลสำหรับภิกษุ แต่ก็สามารถเข้ากันได้กับศีลสำหรับฆราวาสด้วยเช่นกันนะครับ คือไม่ว่าศีลชนิดใดในพระพุทธศาสนา ก็ล้วนถูกบัญญัติขึ้นด้วยเหตุผลเหล่านี้ทั้งนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติศีลขึ้นมา ก็เพื่อประโยชน์แก่ตัวผู้ปฏิบัติเอง และเพื่อคนหมู่มากทั้งสิ้น โดยที่สำคัญก็คือเพื่อประโยชน์ในการขัดเกลา หรือกำราบกิเลสเป็นส่วนมากครับ

การถือศีล 5 ประเภท

การถือศีล หรือข้อวัตรปฏิบัติ รวมถึงสิ่งอื่นๆ ทั่วๆ ไป เช่น การให้ทาน การทำสมาธิ การเจริญวิปัสสนา ฯลฯ ของคนทั่วๆ ไปนั้น แต่ละคนก็มีวัตถุประสงค์ หรือแรงจูงใจแตกต่างกันไปนะครับ ซึ่งบางครั้งก็ดีมาก บางครั้งก็ดีน้อยหน่อย หรือบางครั้งก็อาจจะมีวัตถุประสงค์ที่ไม่ดีเลยก็ได้

พระพุทธเจ้าทรงจำแนกแจกแจงวัตถุประสงค์ หรือแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ เอาไว้เป็น 5 จำพวก ซึ่งในที่นี้ทรงเน้นที่การถือธุดงควัตร (ดูเรื่องธุดงค์คืออะไร ที่ด้านล่างประกอบนะครับ) แต่ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ หรือเป็นประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นๆ ได้เช่นกัน

รายละเอียดในพระไตรปิฎก หมวดอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-ปุคคลปัญญัติปกรณ์ (ดูเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ที่ เล่ม : ๓๖ หน้า : ๒๒๔ ข้อ : ๑๙๙) มีดังนี้ครับ

[๑๔๕] บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตร ๕ จำพวก เป็นไฉน

ภิกษุเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะเป็นผู้เขลา เป็นผู้งมงาย (๑)
ภิกษุเป็นผู้มีความปรารถนาลามก ถูกความอยากได้เข้าครอบงำ จึงถือบิณฑบาตเป็นวัตร (๒)
(เพื่อให้คนศรัทธา แล้วลาภสักการะต่างๆ จะได้ตามมา - ธัมมโชติ)
ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะเป็นบ้า เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน (๓)
ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะคิดว่าองค์แห่งภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรนี้ เป็นข้อที่พระพุทธเจ้า พระสาวกแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญ (๔)
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะอาศัยความปรารถนาน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลากิเลสอย่างเดียว เพราะอาศัยความต้องการด้วยข้อปฏิบัติอันงามนี้ อย่างเดียว (๕)

บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุนี้ใดถือบิณฑบาตเป็นวัตร เพราะอาศัยความปรารถนาน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลากิเลสอย่างเดียว เพราะอาศัยความต้องการด้วยข้อปฏิบัติอันงามนี้อย่างเดียว ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นประมุข เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าบรรดาภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ๕ จำพวกเหล่านี้

น้ำนมเกิดจากแม่โค นมส้มเกิดจากน้ำนม เนยข้นเกิดจากนมส้ม เนยใสเกิดจากเนยข้น ก้อนเนยใสเกิดจากเนยใส บรรดาเภสัช ๕ นั้น ก้อนเนยใส ชาวโลกกล่าวว่าเลิศชื่อแม้ฉันใด ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตรนี้ใด เป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรเพราะอาศัยความปรารถนาน้อยอย่างเดียว เพราะอาศัยความสันโดษอย่างเดียว เพราะอาศัยความขัดเกลากิเลสอย่างเดียว เพราะอาศัยความต้องการด้วยข้อปฏิบัติอย่างเดียว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นประมุข เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าภิกษุผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ๕ จำพวกเหล่านี้ เหล่านี้ชื่อว่า ภิกษุถือบิณฑบาตเป็นวัตร ๕ จำพวก

[๑๔๖] ภิกษุถือห้ามภัตรอันนำมาถวายต่อภายหลังเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถือไตรจีวรเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถืออยู่ป่าเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถือการนั่งเป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถืออยู่ในเสนาสนะที่ท่านจัดไว้เป็นวัตร ๕ จำพวก
ภิกษุถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ๕ จำพวก เป็นไฉน .......... (มีรายละเอียดอย่างเดียวกันนะครับ - ธัมมโชติ)

ธุดงค์คืออะไร

ธุดงควัตร คือข้อปฏิบัติที่เข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อความขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้ภิกษุถือปฏิบัติ ใครจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ครับ ผู้ที่จะปฏิบัติธุดงควัตรนั้น สามารถเลือกได้เองตามความสมัครใจ ว่าจะปฏิบัติข้อใดบ้าง เป็นเวลานานเท่าใด เมื่อจะถือปฏิบัติก็เพียงแต่กล่าวคำสมาทานธุดงควัตรข้อที่ตนเลือก แล้วก็เริ่มปฏิบัติได้เลยครับ

ธุดงควัตรมี 13 ข้อคือ

  1. การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คือการใช้แต่ผ้าเก่าที่คนเขาทิ้งเอาไว้ตามกองขยะบ้าง ข้างถนนบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง นำผ้าเหล่านั้นมาซัก ย้อมสี เย็บต่อกันจนเป็นผืนใหญ่แล้วนำมาใช้ งดเว้นจากการใช้ผ้าใหม่ทุกชนิด (บังสุกุล = คลุกฝุ่น)

  2. การถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร คือการใช้ผ้าเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อันได้แก่ สบง(ผ้านุ่ง) จีวร(ผ้าห่ม) สังฆาฏิ(ผ้าสารพัดประโยชน์ เช่น คลุมกันหนาว ปูนั่ง ปูนอน ปัดฝุ่น ใช้แทนสบง หรือจีวรเพื่อซักผ้าเหล่านั้น ปัจจุบันภิกษุไทยมักใช้พาดบ่าเมื่อประกอบพิธีกรรมครับ)

  3. การถือบิณฑบาตเป็นวัตร คือการบริโภคอาหารเฉพาะที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น ไม่บริโภคอาหารที่คนเขานิมนต์ไปฉันตามบ้าน

  4. ถือการบิณฑบาตตามลำดับบ้านเป็นวัตร คือจะรับบิณฑบาตโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยคนจน ไม่เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มีใครใส่บาตรก็รับไปตามลำดับ ไม่ข้ามบ้านที่ไม่ถูกใจไปนะครับ

  5. ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียว เมื่อนั่งแล้วก็ฉันจนเสร็จ หลังจากนั้นก็จะไม่บริโภคอาหารอะไรอีกเลย นอกจากน้ำดื่มครับ

  6. ถือการฉันในบาตรเป็นวัตร คือจะนำอาหารทุกชนิดที่จะบริโภคในมื้อนั้น มารวมกันในบาตร แล้วจึงฉันอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ติดในรสชาดของอาหารครับ

  7. ถือการห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อรับอาหารมามากพอแล้ว ตัดสินใจว่าจะไม่รับอะไรเพิ่มอีกแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้มีใครนำอะไรมาถวายเพิ่มอีก ก็จะไม่รับอะไรเพิ่มอีกเลย ถึงแม้อาหารนั้นจะถูกใจเพียงใดก็ตามครับ

  8. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส

  9. ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบังครับ

  10. ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุงบังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัยครับ

  11. ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไปอาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท

  12. ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันทีครับ

  13. ถือการนั่งเป็นวัตร คือจะงดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ใน 3 อิริยาบทเท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลยครับ ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน

ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ

4 ความคิดเห็น :

  1. เรียน อาจารย์ธัมมโชติ
    ผมเข้าไปดูพระไตรปิฎกออนไลน์ พระไตรปิฎกเล่มที่ 36 อภิธรรมปิฎกที่ 03 ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ เล่มที่ 36-1 เผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถือศีล 5 ประเภทซึ่งอาจารย์นำเสนอในหน้านี้ แต่พบว่าข้อ 145 และ 146 ในพระไตรปิฎกเล่มดังกล่าวเป็นเรื่องของสภาวะธรรมที่ตรงและไม่ตรงกับจิตร มิใช่การถือบิณฑบาตรเป็นวัตร และการถือห้ามภัตร
    จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าผมสืบค้นผิดพลาดอย่างไร และการสืบค้นที่ถูกต้องจะต้องสืบค้นอย่างไรครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีครับ

      เนื่องจากตอนที่ทำข้อมูลเรื่องนี้ยังไม่มีพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (แบ่งเป็น 45 เล่ม) ที่เป็นแบบดิจิตอลครับ แต่มีพระไตรปิฎกฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย (แบ่งเป็น 91 เล่ม) ที่เป็นแบบดิจิตอลแล้ว

      เพื่อความสะดวกในการคัดลอกข้อมูลในขณะนั้นจึงได้ใช้ข้อมูลจากฉบับมหามกุฏฯ ครับ แต่เนื่องจากพระไตรปิฎกทั้ง 2 ฉบับ มีจำนวนเล่มที่แตกต่างกันและมีเลขที่ข้อธรรมที่ต่างกันด้วย การสืบค้นโดยอ้างอิงจากเลขที่ของข้อธรรมและเล่มที่จึงได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกันครับ ต้องค้นจากเนื้อความเป็นหลัก และเนื่องจากทั้ง 2 ฉบับ แปลต่างสำนวนกันทำให้ข้อความไม่ตรงกันแบบคำต่อคำ และชื่อพระสูตรรวมถึงคำศัพท์บางคำก็เขียนต่างกันอีกด้วย การเลือกขัอความที่ใช้ค้นจึงต้องพิจารณาให้เป็นคำหลักของเรื่องและมีโอกาสที่จะใช้ตรงกันในทั้ง 2 ฉบับ ด้วยครับ

      อย่างในกรณีนี้ถ้าค้นด้วยคำว่า "ปุคคลปัญญัติ ผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร" ก็จะเจอขึ้นมาเป็นรายการแรกเลยครับ ถึงแม้ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ จะใช้คำว่า "ปุคคลบัญญัติ" (บ แทน ป) แต่ระบบค้นข้อมูลของเว็บซึ่งใช้ระบบของกูเกิ้ลก็ค้นคำที่ใกล้เคียงมาให้คือ "ปุคคลบัญญัติ" จึงไม่มีปัญหาในการค้นครั้งนี้ครับ ขอขอบคุณกูเกิ้ลไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

      สรุปว่าเรื่องที่ต้องการค้นจะอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖-๖ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๓ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ ข้อที่ [๑๙๙] หน้า ๒๒๔ นะครับ คลิกที่นี่ได้เลยครับ

      เนื่องจากหลายท่านได้ปรารภว่าอ่านพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เข้าใจง่ายกว่าฉบับมหามกุฏฯ (เพราะสำนวนง่ายกว่า) ในเว็บนี้จึงได้นำพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ มาลงไว้ให้อ่านกันครับ

      ลบ
  2. ขอบคุณอาจารย์ธัมมโชติครับ
    ผมขอเสนอความเห็นว่า เมื่อขณะนี้มีพระไตรปิฎกฉบับดิจิตอลของมหาจุฬาฯ แล้ว และยังเป็นฉบับที่ใช้เผยแพร่ใน website นี้ด้วย จึงควรปรับปรุงเล่มที่ ข้อที่ และหน้า ที่ใช้อ้างอิงจากฉบับมหามกุฎฯ ให้เป็นฉบับของมหาจุฬาฯ ทั้งหมด เพื่อป้องกันความสับสนครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีครับ

      ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะนะครับ

      ผมเห็นว่าถ้าจะปรับปรุงเล่มที่ ข้อที่ และหน้า ที่ใช้อ้างอิงจากฉบับมหามกุฎฯ ให้เป็นฉบับมหาจุฬาฯ โดยใช้เนื้อความเดิมซึ่งแปลต่างสำนวนกันนั้นจะยิ่งทำให้ผู้อ่านสับสนและใช้อ้างอิงอะไรไม่ได้เลยครับ เพราะเนื้อความกับเลขอ้างอิงเป็นของคนละฉบับกัน

      แต่ถ้าจะปรับปรุงทั้งเลขอ้างอิงและเนื้อความให้เป็นฉบับของมหาจุฬาฯ ก็จะเป็นงานที่ใหญ่มากแทบจะเป็นการทำเว็บใหม่ขึ้นมาเลยครับ เพราะเมื่อสำนวนการแปลพระไตรปิฎกเปลี่ยนไป การอธิบายเพิ่มเติมต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จึงต้องทำทุกอย่างใหม่ทั้งหมด

      ผมคิดว่าจุดที่เหมาะสมที่สุด น่าจะเป็นการใส่หมายเหตุเพิ่มเติมว่าเรื่องนี้ตรงกับพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม/ข้อ/หน้าใด โดยคงข้อมูลเดิมเอาไว้ทั้งหมด วิธีนี้นอกจากจะทำให้ผู้สนใจค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้นจากหมายเหตุที่เพิ่มเข้าไปแล้ว ยังสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของพระไตรปิฎกแต่ละฉบับได้อีกด้วยครับ เพราะไม่ได้ตัดข้อมูลเดิมซึ่งมาจากพระไตรปิฎกฉบับอื่นออกไป

      เนื่องจากบทความมีเป็นจำนวนมากจึงต้องค่อยๆ ทยอยเพิ่มหมายเหตุเข้าไปนะครับ


      ลบ