Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

เล่มที่ ๓๓-๒ หน้า ๖๖ - ๑๓๐

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓-๒ สุตตันตปิฎกที่ ๒๕ ขุททกนิกาย
อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์ จริยาปิฎก



พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๕. อุจฉุขัณฑิกเถราปทาน
๕. อุจฉุขัณฑิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุจฉุขัณฑิกเถระ
(พระอุจฉุขัณฑิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๔] ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าประตูอยู่ในกรุงพันธุมดี
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส
ผู้ทรงถึงความสำเร็จแห่งธรรมทั้งปวง
[๔๕] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ถือท่อนอ้อยมาถวายพระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐที่สุดพระนามว่าวิปัสสี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๔๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายอ้อยไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายท่อนอ้อย
[๔๗] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๘] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุจฉุขัณฑิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุจฉุขัณฑิกเถราปทานที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๖. กลัมพทายกเถราปทาน
๖. กลัมพทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกลัมพทายกเถระ
(พระกลัมพทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๐] พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโรมสะ
ประทับอยู่ที่ซอกภูเขา
ข้าพเจ้าเลื่อมใส ได้ถวายผักบุ้ง
แด่พระองค์ด้วยมือทั้ง ๒ ของตน
[๕๑] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผักบุ้ง
[๕๒] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๓] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกลัมพทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
กลัมพทายกเถราปทานที่ ๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๗. อัมพาฏกทายกเถราปทาน
๗. อัมพาฏกทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอัมพาฏกทายกเถระ
(พระอัมพาฏกทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าว
ว่า)
[๕๕] ที่ป่าใหญ่ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นพระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้
จึงได้ถือผลมะกอกมาถวายพระสยัมภู
[๕๖] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้
[๕๗] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๘] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอัมพาฏกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
อัมพาฏกทายกเถราปทานที่ ๗ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๘. หรีตกทายกเถราปทาน
๘. หรีตกทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระหรีตกทายกเถระ
(พระหรีตกทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๐] ข้าพเจ้ากำลังนำผลสมอ ผลมะขามป้อม ผลมะม่วง
ผลหว้า ผลสมอพิเภก ผลกระเบา ผลรกฟ้า
และผลมะตูมมาด้วยตนเอง
[๖๑] ข้าพเจ้าได้พบพระมหามุนี ผู้มีปกติเข้าฌาน
ยินดีในฌาน เป็นมุนี ถูกอาพาธเบียดเบียน
ทรงเดินทางไกล ประทับอยู่ที่เงื้อมภูเขา
[๖๒] ข้าพเจ้าจึงนำผลสมอมาถวายพระสยัมภู
เพียงข้าพเจ้าปรุงเภสัชเสร็จแล้ว
ความเจ็บป่วยก็หายไปในทันใดนั้นเอง
[๖๓] พระพุทธเจ้าผู้ละความกระวนกระวายได้แล้ว
ได้ทรงอนุโมทนาว่า
ก็ด้วยการถวายเภสัชซึ่งเป็นเครื่องระงับความเจ็บป่วยนี้
[๖๔] ท่านจะเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์
หรือเกิดในชาติอื่น ๆ ก็ตาม
ขอจงเป็นผู้มีความสุขในที่ทุกสถาน
และอย่าได้มีความเจ็บป่วยเลย
[๖๕] ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นพระสยัมภู
ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้ ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ตรัสดังนี้แล้ว
ได้เสด็จเหาะขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนพญาหงส์ไปในอากาศ
[๖๖] ข้าพเจ้าได้ถวายผลสมอแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงเป็นพระสยัมภู ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ในชาติใด
ความเจ็บป่วยจึงมิได้เกิดแก่ข้าพเจ้าอีกเลยจนถึงชาตินี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๖๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๘. หรีตกทายกเถราปทาน
[๖๗] ภพนี้เป็นภพสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๘] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายเภสัชไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายเภสัช
[๖๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๗๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๗๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระหรีตกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
หรีตกทายกเถราปทานที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๙. อัมพปิณฑิยเถราปทาน
๙. อัมพปิณฑิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอัมพปิณฑิยเถระ
(พระอัมพปิณฑิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๗๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นพญาช้างมีงางอนงาม๑
เหมาะที่จะเป็นราชพาหนะ
เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นพระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
[๗๓] ข้าพเจ้าได้หยิบชิ้นมะม่วงมาถวายพระศาสดา
พระมหาวีระพระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลกทรงรับแล้ว
[๗๔] ขณะที่ข้าพเจ้าเพ่งดูอยู่ พระชินเจ้าได้เสวยแล้วในครั้งนั้น
ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในพระชินเจ้าพระองค์นั้นแล้ว
จึงได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
[๗๕] ข้าพเจ้าจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นแล้ว
ได้เสวยสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ โดยอุบายนั้นแล
[๗๖] ข้าพเจ้ามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบำเพ็ญเพียร
มีจิตสงบระงับ ไม่มีอุปธิ
กำหนดรู้อาสวะ๒ ทั้งปวงแล้ว จึงอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
[๗๗] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้

เชิงอรรถ :
๑ มีงางอนงาม หมายถึงมีงางอนเหมือนงอนรถ (ขุ.อป.อ. ๑/๖๕๗/๓๗๗, ขุ.อป.อ. ๒/๑๗๙-๘๐/๓๗๐)
๒ อาสวะ หมายถึงกิเลสเครื่องหมักดองมี ๔ คือ (๑) กามาสวะ (๒) ภวาสวะ (๓) ทิฏฐาสวะ (๔) อวิชชาสวะ
(ขุ.เถร.อ. ๒/๕๙๖/๒๓๕, ที.ปา. (แปล) ๑๑/๓๐๕/๒๖๔, องฺ.จตุกฺก. (แปล) ๒๑/๑๙๘/๓๑๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๑๐. ชัมพูผลิยเถราปทาน
[๗๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๗๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๘๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอัมพปิณฑิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อัมพปิณฑิยเถราปทานที่ ๙ จบ
๑๐. ชัมพูผลิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระชัมพูผลิยเถระ
(พระชัมพูผลิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๘๑] เมื่อพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่ ทรงพระยศอย่างสูงสุด
ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
[๘๒] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ได้ถือเอาผลหว้าไปถวายพระศาสดา
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์
[๘๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] ๑๐. ชัมพูผลิยเถราปทาน
เพราะกรรมนั้น ข้าพเจ้าจึงเป็นผู้ละความชนะ๑
และความพ่ายแพ้๒ ได้แล้ว บรรลุฐานะที่ไม่หวั่นไหว๓
[๘๔] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลหว้า
[๘๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๘๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๘๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระชัมพูผลิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ชัมพูผลิยเถราปทานที่ ๑๐ จบ
เอกวิหาริวรรคที่ ๔๔ จบบริบูรณ์

เชิงอรรถ :
๑ ละความชนะ หมายถึงละทิพยสมบัติและมนุษยสมบัติ (ขุ.อป.อ. ๒/๙/๑๐๗)
๒ ละความพ่ายแพ้ หมายถึงละทุกข์ในอบาย ๔ (ขุ.อป.อ. ๒/๙/๑๐๗)
๓ ฐานะที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงพระอรหัตตผลและนิพพาน (ขุ.เถร.อ. ๒/๖๕๑/๒๖๘, ขุ.อป.อ. ๑/๒๙๑/๒๗๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๔. เอกวิหาริวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. เอกวิหาริยเถราปทาน ๒. เอกสังขิยเถราปทาน
๓. ปาฏิหีรสัญญกเถราปทาน ๔. ญาณัตถวิกเถราปทาน
๕. อุจฉุขัณฑิกเถราปทาน ๖. กลัมพทายกเถราปทาน
๗. อัมพาฏกทายกเถราปทาน ๘. หรีตกทายกเถราปทาน
๙. อัมพปิณฑิยเถราปทาน ๑๐. ชัมพูผลิยเถราปทาน

ในวรรคนี้ บัณฑิตนับคาถาได้ ๘๖ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๑. วิเภทกพีชิยเถราปทาน
๔๕. วิเภทกิวรรค
หมวดว่าด้วยพระวิเภทกะเป็นต้น
๑. วิเภทกพีชิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระวิเภทกพีชิยเถระ
(พระวิเภทกพีชิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] พระมหาวีรพุทธเจ้า ผู้ทรงถึงความสำเร็จแห่งธรรมทั้งปวง
พระนามว่ากกุสันธะ พระองค์เสด็จออกจากคณะไปสู่ป่า
[๒] ข้าพเจ้าได้ใช้เถาวัลย์ร้อยจาวตาลถือเที่ยวไปแล้ว
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าฌานอยู่ที่ซอกภูเขา
[๓] ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพแล้ว
มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายจาวตาลแด่พระพุทธเจ้า
ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์
[๔] ข้าพเจ้าได้ถวายพืชไว้ในครั้งนั้น
ในภัทรกัปนี้ จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายจาวตาล
[๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๒. โกลทายกเถราปทาน
[๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระวิเภทกพีชิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
วิเภทกพีชิยเถราปทานที่ ๑ จบ
๒. โกลทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโกลทายกเถระ
(พระโกลทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๘] ครั้งนั้น ข้าพเจ้านุ่งผ้าหนังสัตว์
ห่มผ้าเปลือกไม้ บรรจุผลพุทราจนเต็มหาบ
แล้วหาบไปยังอาศรมของข้าพเจ้า
[๙] กาลนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี
ผู้ทรงทำโลกให้สว่างไสวตลอดกาล
ได้เสด็จเข้ามายังอาศรมของข้าพเจ้าเพียงลำพังพระองค์เดียว
[๑๐] ข้าพเจ้าทำจิตของตนให้เลื่อมใส
และไหว้พระพุทธเจ้าผู้มีวัตรงดงาม
แล้วถวายผลพุทราแด่พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้ง ๒
[๑๑] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลพุทราไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลพุทรา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๓. เวลุวผลิยเถราปทาน
[๑๒] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๑๓] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๑๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโกลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โกลทายกเถราปทานที่ ๒ จบ
๓. เวลุวผลิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเวลุวผลิยเถระ
(พระเวลุวผลิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๕] ใกล้ฝั่งแม่น้ำจันทภาคา
ข้าพเจ้าได้สร้างอาศรมไว้อย่างดี
มีต้นมะตูมอยู่เรียงราย
เป็นที่รวมหมู่ไม้นานาพันธุ์
[๑๖] ข้าพเจ้าเห็นผลมะตูมมีกลิ่นหอมแล้ว
ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
ทั้งยินดีและตื่นเต้น ได้เก็บผลมะตูมใส่หาบจนเต็ม

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๓. เวลุวผิยเถราปทาน
[๑๗] เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ
มีจิตเลื่อมใสได้ถวายผลมะตูมสุกแด่พระองค์
ผู้เป็นเนื้อนาบุญ ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์
[๑๘] ข้าพเจ้าได้ถวายผลมะตูมไว้ในตอนต้นแห่งภัทรกัปนี้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลมะตูม
[๑๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเวลุวผลิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เวลุวผลิยเถราปทานที่ ๓ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๔. ภัลลาตกทายกเถราปทาน
๔. ภัลลาตกทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระภัลลาตกทายกเถระ
(พระภัลลาตกทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๒] พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ
มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ๑
ดุจต้นพญาไม้สาละที่มีดอกบานสะพรั่ง
กำลังเสด็จเหาะไปทางอากาศ
[๒๓] ข้าพเจ้าได้ปูลาดเครื่องลาดหญ้า
ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
ขอพระพุทธเจ้าจงอนุเคราะห์ข้าพระองค์
ข้าพระองค์ปรารถนาจะถวายภิกษา
[๒๔] พระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา
มีพระยศยิ่งใหญ่ ได้ทรงทราบความดำริของข้าพเจ้า
จึงเสด็จลงมาที่อาศรมของข้าพเจ้า
[๒๕] ครั้นแล้ว พระองค์ได้ประทับบนเครื่องลาดใบไม้
ข้าพเจ้าได้ถือผลรกฟ้ามาถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
[๒๖] ขณะที่ข้าพเจ้าเพ่งดูอยู่ พระชินเจ้าได้เสวยแล้วในครั้งนั้น
ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในพระชินเจ้าพระองค์นั้นแล้ว
ก็ในครั้งนั้นได้ไหว้พระชินเจ้าอีก
[๒๗] ในกัปที่ ๑๑๘ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถหน้า ๑๐ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๗๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๕. อุมาปุปผิยเถราปทาน
[๒๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระภัลลาตกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ ฉะนี้
ภัลลาตกทายกเถราปทานที่ ๔ จบ
๕. อุมาปุปผิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุมาปุปผิยเถระ
(พระอุมาปุปผิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๑] เมื่อต้นไทรซึ่งเป็นต้นไม้อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ งอกงามเขียวขจี
ข้าพเจ้าได้ประคองดอกผักตบขึ้นบูชาต้นไม้อันเป็นสถานที่ตรัสรู้
[๓๒] ในภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าได้บูชาต้นไม้อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาต้นไม้อันเป็นสถานที่ตรัสรู้
[๓๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๖. อัมพาฏกิยเถราปทาน
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุมาปุปผิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุมาปุปผิยเถราปทานที่ ๕ จบ
๖. อัมพาฏกิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอัมพาฏกิยเถระ
(พระอัมพาฏกิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๖] พระมุนีพระนามว่าเวสสภู เสด็จเข้าไปยังป่าไม้สาละ
ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง ประทับนั่งอยู่ที่ซอกภูเขา
ดุจพญาราชสีห์มีชาติสูง
[๓๗] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้ดอกมะกอกบูชาพระมหาวีระ
ผู้เป็นเนื้อนาบุญด้วยมือทั้ง ๒ ของตน
[๓๘] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๗. สีหาสนิกเถราปทาน
[๓๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอัมพาฏกิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อัมพาฏกิยเถราปทานที่ ๖ จบ
๗. สีหาสนิกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสีหาสนิกเถระ
(พระสีหาสนิกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๒] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ถวายพระแท่นสีหาสน์๑แด่พระผู้มีพระภาค
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสรรพสัตว์
[๔๓] ข้าพเจ้าอยู่ในโลกใด ๆ
คือจะเป็นเทวโลกหรือมนุษยโลกก็ตาม

เชิงอรรถ :
๑ พระแท่นสีหาสน์ ในที่นี้หมายถึงอาสนะที่มีรูปราชสีห์ ประดับด้วยเงิน ทอง และรัตนะ (ขุ.อป.อ.
๒/๒๑/๒๑๙) อีกนัยหนึ่ง หมายถึงอาสนะชั้นดี (ขุ.อป.อ. ๒/๒๗/๒๔๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๗. สีหาสนิกเถราปทาน
ในโลกนั้น ๆ ข้าพเจ้าได้วิมานอันไพบูลย์
นี้เป็นผลแห่งการถวายพระแท่นสีหาสน์
[๔๔] บัลลังก์ทอง บัลลังก์เงิน บัลลังก์แก้วทับทิม
และบัลลังก์แก้วมณีจำนวนมาก
บังเกิดแก่ข้าพเจ้า ในกาลทุกเมื่อ
[๔๕] ข้าพเจ้าได้สร้างอาสนะไว้ที่ควงไม้สนอันเป็นที่ตรัสรู้
ของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
แล้วได้บังเกิดในตระกูลสูง
น่าอัศจรรย์ พระธรรมเป็นธรรมดี
[๔๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ทำพระแท่นสีหาสน์ไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายพระแท่นสีหาสน์
[๔๗] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๘] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสีหาสนิกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สีหาสนิกเถราปทานที่ ๗ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๘. ปาทปีฐิยเถราปทาน
๘. ปาทปีฐิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปาทปีฐิยเถระ
(พระปาทปีฐิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๐] พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้ประกอบด้วยพระกรุณา เป็นพระมหามุนี
พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ทรงช่วยเหล่าสัตว์จำนวนมาก
ให้ข้ามพ้น(วัฏฏสงสาร) แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
[๕๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้ให้คนทำตั่งสำหรับวางเท้าไว้ที่ใกล้พระแท่นสีหาสน์
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
[๕๒] ข้าพเจ้าทำกุศลกรรมที่มีสุขเป็นผล
มีสุขเป็นกำไรแล้ว เป็นผู้ประกอบแต่กรรมดี
ได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
[๕๓] ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น
เมื่อข้าพเจ้าผู้มีความเพียบพร้อมด้วยกรรมดี
ก้าวเท้าไป ตั่งทองก็ผุดขึ้น(รองรับ)
[๕๔] นรชนเหล่าใดได้ยินคำว่าพระพุทธเจ้า
นรชนเหล่านั้นนับว่าโชคดี
การที่พวกเธอทำสักการะในพระพุทธเจ้า
ผู้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ได้สุขอันไพบูลย์ นับว่าเป็นลาภที่พวกเธอได้ดีแล้ว
[๕๕] แม้กรรมข้าพเจ้าก็ทำไว้ดีแล้ว
ข้าพเจ้าประกอบการค้าขายไว้ดีแล้ว
ข้าพเจ้าทำตั่งสำหรับวางเท้า(ถวาย) จึงได้ตั่งทองคำ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๘. ปาทปีฐิยเถราปทาน
[๕๖] เมื่อข้าพเจ้ามีกิจธุระบางอย่างที่ต้องเดินทางไปสู่ทิศทางใด ๆ
ข้าพเจ้าต้องเหยียบไปบนตั่งทองคำในทิศนั้น ๆ
นี้เป็นผลแห่งกรรมดี
[๕๗] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งสำหรับวางเท้า
[๕๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปาทปีฐิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ปาทปีฐิยเถราปทานที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๙. เวทิการกเถราปทาน
๙. เวทิการกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเวทิการกเถระ
(พระเวทิการกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๑] ข้าพเจ้าได้สร้างไพที๑อย่างสวยงามไว้ที่ควงไม้สน
อันประเสริฐอันเป็นที่ตรัสรู้
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่สูงสุดของพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
แล้วทำจิตของตนให้เลื่อมใส
[๖๒] เครื่องใช้หลายชนิด ซึ่งเลิศโอฬาร
ทั้งที่ทำเสร็จแล้วและยังทำไม่เสร็จ
ตกลงมาจากอากาศ
นี้เป็นผลแห่งการสร้างไพที
[๖๓] ในสงครามทั้ง ๒ ฝ่ายประชิดกัน น่าสะพรึงกลัว
เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปก็ไม่พบสิ่งที่น่าหวาดกลัวเลย
นี้เป็นผลแห่งการสร้างไพที
[๖๔] วิมานที่งดงามและที่นอนซึ่งมีค่ามาก
ดังจะรู้ความดำริของข้าพเจ้าก็บังเกิด
นี้เป็นผลแห่งการสร้างไพที
[๖๕] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้สร้างไพทีไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสร้างไพที
[๖๖] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว

เชิงอรรถ :
๑ ไพที หมายถึงที่รอง แท่น ฐานบัวคว่ำบัวหงายที่พระเจดีย์ ชานล้อมรอบที่จงกรม (ขุ.พุทฺธ.อ. ๑๔/๖๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๑๐. โพธิฆรการกเถราปทาน
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖๗] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเวทิการกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
เวทิการกเถราปทานที่ ๙ จบ
๑๐. โพธิฆรการกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโพธิฆรการกเถระ
(พระโพธิฆรการกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๙] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้ให้คนทำเรือนโพธิ์ถวายพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดาและมนุษย์ ผู้คงที่
[๗๐] ข้าพเจ้าเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
อยู่ในเรือนแก้ว ความหนาว ความร้อน
หรือลมมิได้ถูกต้องตัวข้าพเจ้าเลย
[๗๑] ในกัปที่ ๖๕ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
วิสสุกรรมเทพบุตร ได้เนรมิตนครชื่อกาสิกะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] ๑๐. โพธิฆรการกเถราปทาน
[๗๒] ยาว ๑๐ โยชน์ กว้าง ๘ โยชน์ เพื่อข้าพเจ้า
ในนครนั้นไม่มีไม้เครือเถาและดินเลย
[๗๓] วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตปราสาทชื่อมงคล
ยาวหนึ่งโยชน์ กว้างครึ่งโยชน์ เพื่อข้าพเจ้า
[๗๔] เสาปราสาท ๘๔,๐๐๐ ต้นล้วนเป็นทองคำ
พื้นสำเร็จด้วยแก้วมณี หลังคาทำด้วยแผ่นเงิน
[๗๕] วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตตัวเรือนสำเร็จด้วยทองคำล้วน
ข้าพเจ้าได้อยู่ครองปราสาทนั้น
นี้เป็นผลแห่งการถวายเรือนโพธิ์
[๗๖] ข้าพเจ้าได้เสวยผลทั้งปวงนั้น
ในภพทั้งที่เป็นเทวดาและที่เป็นมนุษย์
ในวันนี้ ข้าพเจ้าบรรลุนิพพานซึ่งเป็นสันติบทอันประเสริฐ
[๗๗] ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ใช้ให้คนทำเรือนโพธิ์ไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายเรือนโพธิ์
[๗๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๗๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๕. วิเภทกิวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
[๘๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโพธิฆรการกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โพธิฆรการกเถราปทานที่ ๑๐ จบ
วิเภทกิวรรคที่ ๔๕ จบบริบูรณ์
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้คือ

๑. วิเภทกพีชิยเถราปทาน ๒. โกลทายกเถราปทาน
๓. เวลุวผลิยเถราปทาน ๔. ภัลลาตกทายกเถราปทาน
๕. อุมาปุปผิยเถราปทาน ๖. อัมพาฏกิยเถราปทาน
๗. สีหาสนิกเถราปทาน ๘. ปาทปีฐิยเถราปทาน
๙. เวทิการกเถราปทาน ๑๐. โพธิฆรการกเถราปทาน

ในวรรคนี้ บัณฑิตนับคาถาได้ ๗๙ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๘๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๑. ชคติทายกเถราปทาน
๔๖. ชคติทายกวรรค
หมวดว่าด้วยพระชคติทายกะเป็นต้น
๑. ชคติทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระชคติทายกเถระ
(พระชคติทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ให้สร้างแท่นบูชาไว้ที่ควงไม้โพธิ์
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ประเสริฐของพระมุนีพระนามว่าธัมมทัสสี
[๒] ข้าพเจ้าพลัดตกเหวก็ดี ภูเขาก็ดี
ต้นไม้ก็ดี ย่อมได้ที่รองรับ
นี้เป็นผลแห่งการสร้างแท่นบูชา
[๓] โจรไม่เบียดเบียนข้าพเจ้า กษัตริย์ก็ไม่ดูหมิ่นข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารอดพ้นจากศัตรูทุกจำพวก
นี้เป็นผลแห่งการสร้างแท่นบูชา
[๔] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือจะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ข้าพเจ้าย่อมเป็นผู้ที่เขาบูชาในที่ทุกสถาน
นี้เป็นผลแห่งการสร้างแท่นบูชา
[๕] ในกัปที่ ๑,๘๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ให้สร้างแท่นบูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสร้างแท่นบูชา
[๖] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๒. โมรหัตถิยเถราปาทาน
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๗] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระชคติทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ชคติทายกเถราปทานที่ ๑ จบ
๒. โมรหัตถิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระโมรหัตถิยเถระ๑
(พระโมรหัตถิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๙] ข้าพเจ้าถือพัดหางนกยูงเข้าเฝ้าพระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี ได้ถวายพัดหางนกยูง
[๑๐] ด้วยพัดหางนกยูงนี้ และด้วยเจตนาที่ตั้งไว้มั่น
ไฟ ๓ กอง๒ของข้าพเจ้าดับสนิทแล้ว
ข้าพเจ้าจึงได้ความสุขอันไพบูลย์

เชิงอรรถ :
๑ พระโมรหัตถิยเถระ หมายถึงพระเสนกเถระหลานของพระอุรุเวลกัสสปเถระ (ขุ.เถร.อ. ๒/๖/๑๗)
๒ ไฟ ๓ กอง ได้แก่ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือโมหะ (ที.ปา. (แปล) ๑๑/๓๐๕/๒๖๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๒. โมรหัตถิยเถราปทาน
[๑๑] พระพุทธเจ้า ช่างน่าอัศจรรย์ พระธรรม ช่างน่าอัศจรรย์
การที่ข้าพเจ้าประจวบกับพระศาสดา ช่างน่าอัศจรรย์
เพราะถวายพัดหางนกยูง
ข้าพเจ้าจึงได้สุขอันไพบูลย์
[๑๒] ไฟ ๓ กอง ของข้าพเจ้าดับสนิทแล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
อาสวะทั้งปวงสิ้นไปแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
[๑๓] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายพัดหางนกยูง
[๑๔] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๑๕] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๑๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระโมรหัตถิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
โมรหัตถิยเถราปทานที่ ๒ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๓. สีหาสนพีชิยเถราปทาน
๓. สีหาสนพีชิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสีหาสนพีชิยเถระ๑
(พระสีหาสนพีชิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๗] ข้าพเจ้าได้ไหว้ต้นโพธิ์ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าติสสะ
ได้ถือพัดวีชนีมาถวายงานพัดพระแท่นสีหาสน์ในที่นั้น
[๑๘] ในกัปที่ ๙๒ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายงานพัดพระแท่นสีหาสน์ไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายงานพัด
[๑๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสีหาสนพีชิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สีหาสนพีชิยเถราปทานที่ ๓ จบ

เชิงอรรถ :
๑ พระสีหาสนพีชิยเถระ หมายถึงพระชัมพุกเถระ (ขุ.เถร.อ. ๒/๕/๑๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๔. ติณุกกธาริยเถราปทาน
๔. ติณุกกธาริยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระติณุกกธาริยเถระ๑
(พระติณุกกธาริยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๒] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ถือคบเพลิง ๓ ดวง (บูชา)
ที่ใกล้ต้นโพธิ์ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้า
พระนามว่าปทุมุตตระ
[๒๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถือคบเพลิง(บูชา)
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายคบเพลิง
[๒๔] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๕] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระติณุกกธาริยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ติณุกกธาริยเถราปทานที่ ๔ จบ

เชิงอรรถ :
๑ พระติณุกกธาริยเถระ หมายถึงพระนันทกเถระ (ขุ.เถร.อ. ๒/๔/๑๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๕. อักกมนทายกเถราปทาน
๕. อักกมนทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอักกมนทายกเถระ๑
(พระอักกมนทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๗] ข้าพเจ้าได้ถวายฉลองพระบาทแด่พระพุทธเจ้า
พระนามว่ากกุสันธะ
ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ ลอยบาปได้แล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
ผู้ทรงดำเนินไปสู่ที่ประทับในเวลากลางวัน
[๒๘] ในภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าได้ถวายทานไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายฉลองพระบาท
[๒๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอักกมนทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
อักกมนทายกเถราปทานที่ ๕ จบ

เชิงอรรถ :
๑ พระอักกมนทายกเถระ หมายถึงพระสุภิยเถระ (ขุ.เถร.อ. ๒/๓/๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๖. วนโกรัณฑิยเถราปทาน
๖. วนโกรัณฑิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระวนโกรัณฑิยเถระ
(พระวนโกรัณฑิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๒] ข้าพเจ้าถือดอกอังกาบป่ามาบูชา
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
ผู้เจริญที่สุดในโลก ผู้คงที่
[๓๓] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๓๔] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๕] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๖] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระวนโกรัณฑิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
วนโกรัณฑิยเถราปทานที่ ๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๗. เอกฉัตติยเถราปทาน
๗. เอกฉัตติยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเอกฉัตติยเถระ๑
(พระเอกฉัตติยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๗] แผ่นดินร้อนดังถ่านเพลิง แผ่นดินดุจมีเถ้ารึงไหล
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
เสด็จจงกรมอยู่ที่กลางแจ้ง
[๓๘] ข้าพเจ้ากั้นร่มขาวเดินทางไกล
เพราะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กลางแจ้งนั้น
ข้าพเจ้าจึงเกิดความคิดอย่างนี้ว่า
[๓๙] ภาคพื้นปกคลุมด้วยพยับแดด
แผ่นดินนี้จึงเป็นเหมือนถ่านเพลิง
พายุใหญ่ที่จะพัดร่างกายให้ลอยขึ้นก็ปรากฏ
[๔๐] ความหนาว ความร้อน ย่อมทำให้ลำบาก
ขอพระองค์โปรดรับร่มนี้ไว้เป็นเครื่องกั้นลมและแดดเถิด
ข้าพเจ้าจักได้สัมผัสพระนิพพานบ้าง
[๔๑] ในครั้งนั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงอนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา
มีพระยศยิ่งใหญ่ ทราบความดำริของข้าพเจ้าแล้วทรงรับไว้
[๔๒] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพครองเทวสมบัติตลอด ๓๐ กัป
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ
[๔๓] และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
ข้าพเจ้าเสวยผลกรรมของตนที่ได้ทำไว้ดีแล้วในปางก่อน

เชิงอรรถ :
๑ พระเอกฉัตติยเถระ หมายถึงพระนาคสมาลศากยบุตร (ขุ.เถร.อ. ๒/๑/๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๗. เอกฉัตติยเถราปทาน
[๔๔] ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
แม้ในวันนี้ชนทั้งหลายก็พากันกั้นร่มขาว
ให้ข้าพเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อ
[๔๕] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายร่มไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายร่ม
[๔๖] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๗] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเอกฉัตติยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เอกฉัตติยเถราปทานที่ ๗ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๘. ชาติปุปผิยเถราปทาน
๘. ชาติปุปผิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระชาติปุปผิยเถระ๑
(พระชาติปุปผิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้าได้ถือผอบซึ่งเต็มด้วยดอกไม้
ไปบูชาพระสรีระของพระพุทธเจ้า
[๕๐] ข้าพเจ้าทำจิตให้เลื่อมใสในการบูชานั้นแล้ว
ได้ไปเกิดยังสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
ข้าพเจ้าแม้จะอยู่ในเทวโลก
ก็ยังประพฤติกรรมดีอยู่
[๕๑] ฝนดอกไม้ตกจากฟากฟ้าเพื่อข้าพเจ้าตลอดกาลทั้งปวง
ข้าพเจ้าเกิดในมนุษยโลกแล้วก็จะเป็นพระราชาผู้มีพระยศใหญ่
[๕๒] ในอัตภาพนั้น ฝนแห่งบุปผชาติตกลงมาเพื่อข้าพเจ้าตลอดเวลา
เพราะอานุภาพแห่งการใช้ดอกไม้บูชาพระสรีระของพระพุทธเจ้า
ผู้ทรงเห็นเหตุทั้งปวง
[๕๓] ภพนี้เป็นภพสุดท้ายของข้าพเจ้า
ภพสุดท้ายกำลังเป็นไปอยู่
แม้ในวันนี้ฝนดอกไม้ก็ยังตกเพื่อข้าพเจ้าตลอดเวลา
[๕๔] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสรีระ

เชิงอรรถ :
๑ พระชาติปุปผิยเถระ หมายถึงพระภคุศากยบุตร (ขุ.เถร.อ. ๒/๒/๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๙๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๙. สัตติปัณณิยเถราปทาน
[๕๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระชาติปุปผิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ชาติปุปผิยเถราปทานที่ ๘ จบ
๙. สัตติปัณณิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสัตติปัณณิยเถระ๑
(พระสัตติปัณณิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๘] เมื่อมหาชนกำลังช่วยกันนำพระสรีระของพระพุทธเจ้าไป
เมื่อกลองบรรเลงอยู่ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้ดอกมะลิซ้อนบูชาแล้ว
[๕๙] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระสรีระ

เชิงอรรถ :
๑ พระสัตติปัณณิยเถระ หมายถึงพระวิมลเถระศิษย์ของพระโสมมิตตเถระ (ขุ.เถร.อ. ๑/๑๖/๕๘๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] ๑๐. คันธปูชกเถราปทาน
[๖๐] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖๑] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๒] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสัตติปัณณิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สัตติปัณณิยเถราปทานที่ ๙ จบ
๑๐. คันธปูชกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระคันธปูชกเถระ๑
(พระคันธปูชกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๓] เมื่อมหาชนกำลังช่วยกันทำจิตกาธานอยู่
เมื่อพวกเขานำของหอมนานาชนิดมา
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้ของหอมกำมือหนึ่งบูชาแล้ว
[๖๔] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้บูชาจิตกาธานไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาจิตกาธาน

เชิงอรรถ :
๑ พระคันธปูชกเถระ หมายถึงพระหาริตเถระ (ขุ.เถร.อ. ๑/๙๑/๑๓๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๖. ชคติทายกวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
[๖๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระคันธปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
คันธปูชกเถราปทานที่ ๑๐ จบ
ชคติทายกวรรคที่ ๔๖ จบบริบูรณ์
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้คือ

๑. ชคติทายกเถราปทาน ๒. โมรหัตถิยเถราปทาน
๓. สีหาสนพีชิยเถราปทาน ๔. ติณุกกธาริยเถราปทาน
๕. อักกมนทายกเถราปทาน ๖. วนโกรัณฑิยเถราปทาน
๗. เอกฉัตติยเถราปทาน ๘. ชาติปุปผิยเถราปทาน
๙. สัตติปัณณิยเถราปทาน ๑๐. คันธปูชกเถราปทาน

ในวรรคนี้ บัณฑิตนับคาถาได้ ๖๗ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๑. สาลกุสุมิยเถราปทาน
๔๗. สาลกุสุมิยวรรค
หมวดว่าด้วยพระสาลกุสุมิยะเป็นต้น
๑. สาลกุสุมิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสาลกุสุมิยเถระ
(พระสาลกุสุมิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าปทุมุตตระ ปรินิพพานแล้ว
เมื่อมหาชนกำลังช่วยกันยกพระสรีระ
ของพระพุทธเจ้าขึ้นบนจิตกาธาน
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกสาละบูชาแล้ว
[๒] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาจิตกาธาน
[๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสาลกุสุมิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สาลกุสุมิยเถราปทานที่ ๑ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๒. จิตกปูชกเถราปทาน
๒. จิตกปูชกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระจิตกปูชกเถระ
(พระจิตกปูชกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖] เมื่อเทวดาและมนุษย์พากันถวายพระเพลิง
พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิขี ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ของโลก
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกจำปา ๘ ดอกบูชาจิตกาธาน
[๗] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชา(จิตกาธาน)ไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๑๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระจิตกปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
จิตกปูชกเถราปทานที่ ๒ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๓. จิตกนิพพาปกเถราปทาน
๓. จิตกนิพพาปกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระจิตกนิพพาปกเถระ
(พระจิตกนิพพาปกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๑] เมื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพากันถวายพระเพลิง
พระสรีระของพระพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าได้นำเอาน้ำหอมมาดับจิตกาธาน
[๑๒] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้น้ำหอมดับจิตกาธานไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งน้ำหอม
[๑๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๑๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๑๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระจิตกนิพพาปกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
จิตกนิพพาปกเถราปทานที่ ๓ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๔. เสตุทายกเถราปทาน
๔. เสตุทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระเสตุทายกเถระ
(พระเสตุทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ให้สร้างสะพานในที่เฉพาะพระพักตร์
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี ผู้เสด็จดำเนินอยู่
[๑๗] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ให้สร้างสะพานถวายไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายสะพาน
[๑๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๑๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระเสตุทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
เสตุทายกเถราปทานที่ ๔ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๕. สุมนตาลวัณฏิยเถราปทาน
๕. สุมนตาลวัณฏิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสุมนตาลวัณฏิยเถระ
(พระสุมนตาลวัณฏิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๑] ข้าพเจ้าได้ถวายพัดใบตาลที่ประดับด้วยดอกมะลิ
แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่าสิทธัตถะ
แล้วถวายงานพัดพระพุทธองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
[๒๒] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายพัดใบตาลไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายพัดใบตาล
[๒๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสุมนตาลวัณฏิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
สุมนตาลวัณฏิยเถราปทานที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๖. อวฏผลิยเถราปทาน
๖. อวฏผลิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอวฏผลิยเถระ
(พระอวฏผลิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๒๖] พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าสตรังสี
เป็นพระสยัมภู ผู้มีบุญ
ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้ ผู้ทรงประสงค์วิเวก
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเสด็จออกโคจรบิณฑบาต
[๒๗] ข้าพเจ้าถือผลไม้อยู่ ได้เห็นแล้ว
จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้องอาจกว่านรชน
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี ได้ถวายผลไม้
[๒๘] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้
[๒๙] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๐] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๗. ลพุชผลทายกเถราปทาน
[๓๑] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอวฏผลิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อวฏผลิยเถราปทานที่ ๖ จบ
๗. ลพุชผลทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระลพุชผลทายกเถระ
(พระลพุชผลทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเป็นชาวสวนอยู่ในกรุงพันธุมดี
ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลีคือกิเลส
เสด็จเหาะไปในอากาศ
[๓๓] ข้าพเจ้าได้ถือเอาผลขนุนสำปะลอ
ถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด
พระพุทธเจ้าผู้มีพระยศยิ่งใหญ่
ประทับยืนอยู่ในอากาศนั้นเอง ทรงรับแล้ว
[๓๔] พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความปลื้มใจ
นำความสุขมาให้ในปัจจุบัน
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้แด่พระพุทธเจ้าด้วยจิตที่เลื่อมใสแล้ว
[๓๕] ได้ประสบปีติอันไพบูลย์ เป็นสุขอย่างยอดเยี่ยมในครั้งนั้น
รัตนะเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าผู้เกิดในที่นั้น ๆ
[๓๖] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลขนุนสำปะลอ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๐๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๘. มิลักขุผลทายกเถราปทาน
[๓๗] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๓๘] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๓๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระลพุชผลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
ลพุชผลทายกเถราปทานที่ ๗ จบ
๘. มิลักขุผลทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระมิลักขุผลทายกเถระ
(พระมิลักขุผลทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๐] ข้าพเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าอัตถทัสสี
ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ที่ราวป่า เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
มีใจยินดี ได้ถวายผลไทรย้อย
[๔๑] ในกัปที่ ๑,๘๐๐ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไทรย้อย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๙. สยัมปฏิภาณิยเถราปทาน
[๔๒] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๓] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๔] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระมิลักขุผลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
มิลักขุผลทายกเถราปทานที่ ๘ จบ
๙. สยัมปฏิภาณิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสยัมปฏิภาณิยเถระ
(พระสยัมปฏิภาณิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๕] พระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน
ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ งามเหมือนดอกซ่าง(กุ่ม)
ผู้เสด็จดำเนินอยู่ที่ถนน ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๔๖] พระพุทธเจ้าผู้กำจัดความมืดมนให้พินาศ
ทรงช่วยให้ชนจำนวนมากข้ามพ้น
โชติช่วงอยู่ด้วยแสงสว่างคือญาณ
ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๙. สยัมปฏิภาณิยเถราปทาน
[๔๗] พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
กำลังเสด็จออกไปพร้อมกับพระขีณาสพผู้ได้วสี
จำนวน ๑๐,๐๐๐ รูป
ผู้ทรงช่วยสัตว์จำนวนมากให้ข้ามพ้นจากเปือกตมคือกาม
ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๔๘] พระพุทธเจ้าผู้ย่ำกลองคือพระธรรม ย่ำยีหมู่เดียรถีย์
ทรงบันลือสีหนาท ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๔๙] เทพทั้งหลายพร้อมทั้งพรหมทุกหมู่เหล่าพากันมาจากพรหมโลก
แล้วทูลถามปัญหาที่ลึกซึ้งกับพระพุทธเจ้า
ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๕๐] มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาพากันมาประนมมือ
แด่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
ย่อมได้เสวยบุญด้วยการทำอัญชลีกรรมนั้น
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๕๑] ชนทั้งปวงมาประชุมห้อมล้อมพระพุทธเจ้า
ผู้มีพระจักษุ พระองค์ได้รับนิมนต์(เพื่อตอบปัญหา)
แต่ไม่ทรงหวั่นไหว ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๕๒] เมื่อพระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชนพระองค์ใด
เสด็จเข้าพระนคร กลองจำนวนมากประโคมกึกก้อง
คชสารที่ตกมันก็พากันบันลือ
พระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชนพระองค์นั้น
ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๕๓] เมื่อพระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชนพระองค์ใด
เสด็จดำเนินไปตามถนน พระรัศมีย่อมส่องสว่างทุกเมื่อ
ทั้งที่ลุ่มที่ดอนก็กลายเป็นที่สม่ำเสมอ
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๙. สยัมปฏิภาณิยเถราปทาน
[๕๔] เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอยู่ หมู่สัตว์ในจักรวาลได้ยินกันทั่ว
พระองค์ทรงสามารถยังสัตว์โลกให้รู้ชัดได้ทั่วกัน
ใครเล่าเห็นแล้วจะไม่เลื่อมใส
[๕๕] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้สดุดีพระพุทธเจ้าไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการสดุดี
[๕๖] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๗] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๘] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสยัมปฏิภาณิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สยัมปฏิภาณิยเถราปทานที่ ๙ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๑๐. นิมิตตพยากรณิยเถราปทาน
๑๐. นิมิตตพยากรณิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระนิมิตตพยากรณิยเถระ
(พระนิมิตตพยากรณิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๙] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เข้าป่าหิมพานต์บอกมนตร์อยู่
ศิษย์ ๕๔,๐๐๐ คน ได้อุปัฏฐากข้าพเจ้า
[๖๐] ศิษย์เหล่านั้นล้วนเป็นนักศึกษาจบไตรเพท
ถึงความสำเร็จในเวทางคศาสตร์ ๖ สาขา๑
พวกเขากระด้างเพราะวิชชาของตน อยู่ในป่าหิมพานต์
[๖๑] เทพบุตรผู้มียศยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ
จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว อุบัติในครรภ์มารดา
[๖๒] เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น
หมื่นจักรวาลก็หวั่นไหว
คนตาบอดกลับมองเห็นได้
ในเมื่อพระผู้ทรงเป็นผู้นำเสด็จอุบัติขึ้น
[๖๓] แต่พื้นพสุธาทั้งสิ้นนี้สั่นสะเทือนเพราะเหตุ ๖ ประการ
มหาชนได้สดับเสียงกึกก้องแล้ว พากันหวาดผวา
[๖๔] ชนทั้งปวงประชุมกันแล้ว
ได้พากันมายังสำนักของข้าพเจ้าถามว่า
พื้นพสุธานี้สั่นสะเทือน จักมีผลเป็นอย่างไร
[๖๕] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้พยากรณ์แก่พวกเขาว่า
อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายไม่มีภัย
ขอท่านทั้งหลายแม้ทุกคนจงเบาใจเถิด
ความอุบัติขึ้นนี้ประกอบด้วยประโยชน์สุข

เชิงอรรถ :
๑ ดูเชิงอรรถที่ ๑ หน้า ๙ ในเล่มนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] ๑๐. นิมิตตพยากรณิยเถราปทาน
[๖๖] พื้นพสุธาถูกเหตุ ๘ ประการ๑กระทบแล้วย่อมสั่นสะเทือน
นิมิตย่อมปรากฏโดยอาการเช่นเดียวกัน
โอภาสก็ไพบูลย์ยิ่งใหญ่
[๖๗] พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด ผู้มีพระจักษุ
จักเสด็จอุบัติขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ข้าพเจ้าทำให้ชุมนุมชนเข้าใจดีแล้ว ได้บอกเบญจศีล
[๖๘] พวกเขาได้สดับเบญจศีล
และการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าที่ได้โดยยาก
จึงเกิดปีติซาบซ่าน มีใจยินดี พากันยินดีร่าเริง
[๖๙] ในกัปที่ ๙๒ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้พยากรณ์นิมิตไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการพยากรณ์
[๗๐] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๗๑] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว

เชิงอรรถ :
๑ ดู ที.ม. (แปล) ๑๐/๑๗๑/๑๑๗-๑๑๘

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๗. สาลกุสุมิยวรรค] รวมอปทานที่มีในวรรค
[๗๒] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระนิมิตตพยากรณิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
นิมิตตพยากรณิยเถราปทานที่ ๑๐ จบ
สาลกุสุมิยวรรคที่ ๔๗ จบบริบูรณ์
รวมอปทานที่มีในวรรคนี้คือ

๑. สาลกุสุมิยเถราปทาน ๒. จิตกปูชกเถราปทาน
๓. จิตกนิพพาปกเถราปทาน ๔. เสตุทายกเถราปทาน
๕. สุมนตาลวัณฏิยเถราปทาน ๖. อวฏผลิยเถราปทาน
๗. ลพุชผลทายกเถราปทาน ๘. มิลักขุผลทายกเถราปทาน
๙. สยัมปฏิภาณิยเถราปทาน ๑๐. นิมิตตพยากรณิยเถราปทาน

ในวรรคนี้ บัณฑิตนับคาถาได้ ๗๒ คาถา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๑. นฬมาลิยเถราปทาน
๔๘. นฬมาลิวรรค
หมวดว่าด้วยพระนฬมาลิยะเป็นต้น
๑. นฬมาลิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระนฬมาลิยเถระ
(พระนฬมาลิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๑] ข้าพเจ้าได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้มีพระฉวีวรรณดังทองคำ
ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
กำลังเสด็จเหาะไปทางอากาศ
[๒] ข้าพเจ้าหยิบพวงมาลัยดอกอ้อแล้วออกไป ในทันใดนั้นเอง
ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว
ไม่มีอาสวะ ณ ที่นั้น
[๓] ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ใช้พวงมาลัยดอกอ้อบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
มีความเพียรมาก ผู้ทรงอนุเคราะห์โลกทั้งสิ้น
[๔] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้ดอกไม้บูชาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๕] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๒. มณิปูชกเถราปทาน
[๖] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระนฬมาลิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
นฬมาลิยเถราปทานที่ ๑ จบ
๒. มณิปูชกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระมณิปูชกเถระ
(พระมณิปูชกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๘] พระชินสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงถึงความสำเร็จแห่งธรรมทั้งปวง
ทรงประสงค์วิเวก เสด็จเหาะไปในอากาศ
[๙] มีสระใหญ่อยู่ในที่ไม่ไกลป่าหิมพานต์ ที่อยู่ของข้าพเจ้า๑
ซึ่งบุญกรรมประกอบดีแล้วมีอยู่ในสระใหญ่นั้น
[๑๐] ข้าพเจ้าออกจากที่อยู่แล้วได้เห็นพระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ทรงรุ่งเรืองเหมือนต้นราชพฤกษ์ โชติช่วงราวกับไฟที่ลุกโพลง
[๑๑] ข้าพเจ้าได้เห็นดอกไม้ที่สดใส
จึงคิดว่าจักบูชาพระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก

เชิงอรรถ :
๑ ข้าพเจ้า ในที่นี้หมายถึงพญานาคผู้มีฤทธิ์อาศัยอยู่ใต้บึงใหญ่ใกล้ป่าหิมพานต์ (ขุ.เถร.อ. ๑/๓๑๑/๕๓๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๒. มณิปูชกเถราปทาน
ทำจิตของตนให้เลื่อมใสแล้ว
จึงได้ไหว้พระศาสดา
[๑๒] ข้าพเจ้าหยิบแก้วมณีประดับศีรษะของข้าพเจ้า
บูชาพระผู้ทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก
ปรารถนาว่า ด้วยการบูชาด้วยแก้วมณีนี้ ขอจงมีวิบากที่ดี
[๑๓] พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ
ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา
ประทับยืนอยู่ในอากาศ ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า
[๑๔] ขอความดำริของท่านนั้นจงสำเร็จเถิด
ขอท่านจงได้สุขอันไพบูลย์เถิด
ด้วยการบูชาด้วยแก้วมณีนี้
ขอท่านจงได้รับยศที่ยิ่งใหญ่เถิด
[๑๕] พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุดพระนามว่าปทุมุตตระ
ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ครั้นตรัสแก่ข้าพเจ้าผู้ตั้งจิตปรารถนาไว้แล้วก็เสด็จไป
[๑๖] ข้าพเจ้าได้เป็นจอมเทพครองเทวสมบัติตลอด ๖๐ กัป
และได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยชาติ
[๑๗] เมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นเทวดา
ระลึกถึงบุพกรรมขึ้นมา
แก้วมณีย่อมบังเกิดแก่ข้าพเจ้า
(และ)ให้แสงสว่างแก่ข้าพเจ้า
[๑๘] สตรีสาวล้วน ๘๖,๐๐๐ นาง
สวมใส่ผ้าอาภรณ์อย่างงดงาม
ห้อยตุ้มหูแก้วมณี เป็นผู้รับใช้ของข้าพเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๑๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๒. มณิปูชกเถราปทาน
[๑๙] ล้วนมีหน้ากลมโต มีปกติร่าเริง รูปร่างงดงาม
เอวเล็กเอวบาง แวดล้อมข้าพเจ้าอยู่เป็นนิตย์
นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยแก้วมณี
[๒๐] สิ่งของเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำ
แก้วมณี และแก้วทับทิม
เป็นอันทำดีแล้วเพื่อข้าพเจ้า
ตามที่ข้าพเจ้าต้องการ
[๒๑] เรือนยอด ถ้ำที่น่ารื่นรมย์
และที่นอนมีค่ามาก ดังจะรู้ความดำริของข้าพเจ้า
ก็บังเกิดตามความปรารถนา
[๒๒] การที่เหล่าสัตว์ได้เข้าไปฟัง
เป็นลาภที่พวกเขาได้ดีแล้ว
เป็นเนื้อนาบุญของมนุษย์
เป็นโอสถของสรรพสัตว์
[๒๓] ถึงกรรมที่ข้าพเจ้าได้เข้าเฝ้าพระผู้ทรงเป็นผู้นำ
ก็ชื่อว่าทำไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้รอดพ้นจากนรก
ได้บรรลุบทที่ไม่หวั่นไหว
[๒๔] ข้าพเจ้าเกิดในกำเนิดใด ๆ
คือ จะเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
แสงสว่างย่อมมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
ทั้งกลางวันและกลางคืน
[๒๕] เพราะการบูชาด้วยแก้วมณีนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้เสวยสมบัติ
พบแสงสว่างคือญาณ ได้บรรลุบทที่ไม่หวั่นไหว
[๒๖] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ใช้แก้วมณีบูชาไว้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๓. อุกกาสติกเถราปทาน
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาด้วยแก้วมณี
[๒๗] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๒๘] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๒๙] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระมณิปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
มณิปูชกเถราปทานที่ ๒ จบ
๓. อุกกาสติกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระอุกกาสติกเถระ
(พระอุกกาสติกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๓๐] ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าโกสิกะ
ผู้มีบุญ มีปกติเข้าฌาน ยินดีในฌาน ผู้ทรงเป็นพุทธะ
ยินดีในวิเวก เป็นพระมุนีประทับอยู่ที่ภูเขาจิตรกูฏ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๓. อุกกาสติกเถราปทาน
[๓๑] ข้าพเจ้ามีหมู่นารีห้อมล้อมเข้าไปยังป่าหิมพานต์
ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ
ผู้(รุ่งเรือง)ดังดวงจันทร์ในวันเพ็ญ
[๓๒] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าถือคบเพลิง ๑๐๐ ดวง
แวดล้อมพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ตลอด ๗ วัน ๗ คืน
วันที่ ๘ ก็ได้จากไป
[๓๓] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
กราบไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าโกสิกะ
ผู้เป็นพระสยัมภู ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้
เสด็จออกจากสมาบัติแล้วได้ถวายภิกษามื้อหนึ่ง
[๓๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งเทวดาและมนุษย์
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
เพราะกรรมนั้น ข้าพเจ้าได้เกิดขึ้นในหมู่เทพชั้นดุสิต
นี้เป็นผลแห่งการถวายภิกษามื้อหนึ่ง
[๓๕] แสงสว่างย่อมมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อทั้งกลางวันและกลางคืน
ข้าพเจ้าแผ่รัศมีไปได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ
[๓๖] ในกัปที่ ๕๕ (นับจากกัปนี้ไป)
ข้าพเจ้าได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีชัยชนะ
เป็นใหญ่ในชมพูทวีป มีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต
[๓๗] ครั้งนั้น นครของข้าพเจ้าเป็นนครที่มั่งคั่งแผ่ไพศาล
และสร้างไว้อย่างสวยงาม ยาว ๓๐ โยชน์
กว้าง ๒๐ โยชน์
[๓๘] กรุงชื่อโสภณะที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตให้
เป็นกรุงที่สงัดจากเสียง ๑๐ ประการ๑
แต่ประกอบด้วยเสียงกังสดาลอย่างไพเราะ

เชิงอรรถ :
๑ เสียง ๑๐ ประการ คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์ เสียงรถ เสียงตะโพน เสียงพิณ
เสียงเพลงขับ เสียงฉิ่ง เสียงเชื้อเชิญทานอาหาร (ขุ.พุทธ. ๓๓/๒/๔๔๗, ขุ.อป.อ. ๑/๔๑, ขุ.ชา.อ. ๑/๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๓. อุกกาสติกเถราปทาน
[๓๙] ในกรุงนั้นไม่มีไม้เถา ไม้ต้นและดิน
กรุงนั้นสำเร็จด้วยทองคำล้วน ๆ
โชติช่วงอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์
[๔๐] กรุงนั้นมีกำแพงล้อมถึง ๔ ชั้น
๓ ชั้นเป็นกำแพงที่ทำด้วยแก้วมณี
ส่วนตรงกลางวิสสุกรรมเทพบุตรได้เนรมิตแถวแห่งดงตาลไว้
[๔๑] มีสระโบกขรณีหนึ่งหมื่น
ที่ปกคลุมไปด้วยดอกปทุมชาติและดอกอุบล
ดารดาษด้วยดอกบุณฑริกเป็นต้น
เมื่อลมโชยก็มีกลิ่นต่าง ๆ หอมกรุ่น
[๔๒] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถือคบเพลิงถวายไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถือคบเพลิงถวาย
[๔๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๔๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระอุกกาสติกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
อุกกาสติกเถราปทานที่ ๓ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๔. สุมนวีชนิยเถราปทาน
๔. สุมนวีชนิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระสุมนวีชนิยเถระ
(พระสุมนวีชนิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๔๖] ข้าพเจ้ามีใจยินดี ได้จับพัดวีชนีพัดต้นโพธิ์ที่ประเสริฐ
อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ประเสริฐ
ของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี
[๔๗] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้พัดต้นโพธิ์ที่ประเสริฐไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการพัด
[๔๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๔๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระสุมนวีชนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
สุมนวีชนิยเถราปทานที่ ๔ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๕. กุมมาสทายกเถราปทาน
๕. กุมมาสทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกุมมาสทายกเถระ
(พระกุมมาสทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๑] ข้าพเจ้าเห็นบาตรที่ว่างเปล่าของพระผู้มีพระภาค
พระนามว่าวิปัสสี ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่
เสด็จเที่ยวแสวงหาบิณฑบาตอยู่
จึงถวายขนมกุมมาสจนเต็มบาตร
[๕๒] ในกัปที่ ๙๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายภิกษาไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายขนมกุมมาส
[๕๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๕๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกุมมาสทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
กุมมาสทายกเถราปทานที่ ๕ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๖. กุสัฏฐกทายกเถราปทาน
๖. กุสัฏฐกทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระกุสัฏฐกทายกเถระ
(พระกุสัฏฐกทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๕๖] ข้าพเจ้าเป็นผู้มีจิตเลื่อมใส มีใจยินดี
ได้ถวายสลากภัต ๘ ครั้ง
แด่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะ
ผู้ประเสริฐ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
[๕๗] ในกัปนี้เอง ข้าพเจ้าได้ถวายสลากภัต ๘ ครั้ง
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายสลากภัต ๘ ครั้ง
[๕๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๕๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระกุสัฏฐกทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
กุสัฏฐกทายกเถราปทานที่ ๖ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๗. คิริปุนนาคิยเถราปทาน
๗. คิริปุนนาคิยเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระคิริปุนนาคิยเถระ
(พระคิริปุนนาคิยเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๑] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโสภิตะ
ประทับอยู่ที่ภูเขาจิตรกูฏ
ข้าพเจ้าได้ถือดอกบุนนาคใหญ่ไปบูชาพระสยัมภู
[๖๒] ในกัปที่ ๙๔ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า
[๖๓] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖๔] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๖๕] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระคิริปุนนาคิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้
คิริปุนนาคิยเถราปทานที่ ๗ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๘. วัลลิการผลทายกเถราปทาน
๘. วัลลิการผลทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระวัลลิการผลทายกเถระ
(พระวัลลิการผลทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๖] ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ
ประทับอยู่ในกรุงตักกรา
ข้าพเจ้าได้หยิบผลไม้เครือเถา๑ถวายพระสยัมภู
[๖๗] ในกัปที่ ๓๑ นับจากกัปนี้ไป
ข้าพเจ้าได้ถวายผลไม้ไว้ในครั้งนั้น
จึงไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้เครือเถา
[๖๘] กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว
ภพทั้งปวงข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่องผูกพันได้แล้วอยู่อย่างผู้ไม่มีอาสวะ
ดุจพญาช้างตัดเครื่องพันธนาการได้แล้วอยู่อย่างอิสระ
[๖๙] การที่ข้าพเจ้ามาในสำนักของพระพุทธเจ้า
เป็นการมาดีแล้วโดยแท้
วิชชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุแล้วโดยลำดับ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว
[๗๐] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘
และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสำเร็จแล้ว ดังนี้แล
ได้ทราบว่า ท่านพระวัลลิการผลทายกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้
วัลลิการผลทายกเถราปทานที่ ๘ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ผลไม้เครือเถา ในที่นี้หมายถึงผลแตงโมก็ได้ (ขุ.วิ.( แปล) ๒๖/๔๖๑-๔๖๘/๖๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๙. ปานธิทายกเถราปทาน
๙. ปานธิทายกเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปานธิทายกเถระ
(พระปานธิทายกเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๗๑] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน ผู้มีพระจักษุ
เสด็จออกจากที่ประทับกลางวันแล้วเสด็จขึ้นสู่ถนน
[๗๒] ข้าพเจ้าสวมรองเท้าที่ทำอย่างดีออกเดินทางไกล
ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระรูปงดงามน่าดูน่าชมในที่นั้น
เสด็จดำเนินด้วยพระบาทเปล่า
[๗๓] ข้าพเจ้าทำจิตของตนให้เลื่อมใส
ถอดรองเท้าออกวางไว้แทบพระบาท
แล้วได้กราบทูลคำนี้ว่า
[๗๔] ข้าแต่พระสุคต ผู้มีความเพียรมาก
ผู้เป็นใหญ่ ผู้ทรงเป็นผู้นำวิเศษ
ขอเชิญพระองค์สวมรองเท้าเถิด
ข้าพระองค์จักได้ผลจากรองเท้าคู่นี้
ขอความต้องการของข้าพระองค์จงสำเร็จเถิด
[๗๕] พระผู้มีพระภาคพระนามว่าอโนมทัสสี
ผู้เจริญที่สุดในโลก ทรงองอาจกว่านรชน
ทรงสวมรองเท้าแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
[๗๖] เราจักพยากรณ์ผู้ที่เลื่อมใสได้ถวายรองเท้าแก่เรา
ด้วยมือทั้ง ๒ ของตน
ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๒๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน [๔๘. นฬมาลิวรรค] ๙. ปานธิทายกเถราปทาน
[๗๗] เทวดาทั้งปวงที่ทราบพุทธดำรัสแล้วจึงพากันมาประชุม
ต่างก็มีจิตเบิกบาน มีใจยินดี
เกิดความโสมนัสประนมมือ
[๗๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
เพราะการถวายรองเท้านี้แล
ผู้นี้จักเป็นผู้มีความสุข
และจักครองเทวสมบัติตลอด ๕๕ ชาติ
[๗๙] จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ชาติ
และจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับชาติไม่ถ้วน
[๘๐] ในกัปที่นับมิได้นับจากกัปนี้ไป
พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร
จักทรงสมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๘๑] ผู้นี้๑ จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นโอรสที่ธรรมเนรมิต
กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๘๒] ผู้นี้จักบังเกิดในเทวโลกหรือมนุษยโลกก็ตาม
จักเป็นผู้มีปัญญา จักได้ยานซึ่งเปรียบด้วยยานของเทวดา
[๘๓] ข้าพเจ้ามีปราสาท วอ ช้าง ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
หรือรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย
ย่อมปรากฏมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อ
[๘๔] แม้เมื่อข้าพเจ้าออกบวช ก็ได้ออกไปด้วยรถ
ได้บรรลุอรหัตตผลขณะปลงผม
[๘๕] ข้อที่ข้าพเจ้าประกอบการค้าขายด้วยดี
(และ)ข้อที่ข้าพเจ้าถวายรองเท้า ๑ คู่แล้ว

เชิงอรรถ :
๑ หมายถึงพระภารตเถระชาวเมืองจำปา (ขุ.เถร.อ. ๑/๒๘๕/๔๖๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๓ หน้า :๑๓๐ }

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น