Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

วิธีระงับความเศร้าโศกเสียใจถึงคนตาย

ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่

หน้านี้เป็นอรรถกถาพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงระงับความเศร้าโศกเสียใจถึงคนตายให้กับผู้ที่สูญเสียบิดาไปนะครับ

พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ อุรควรรคที่ ๑


อรรถกถาโคณเปตวัตถุที่ ๘


(เนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องราวรายละเอียดนี้นำมาจากคัมภีร์ชั้นอรรถกถาซึ่งขยายความพระไตรปิฎกอีกทีนะครับ ในพระไตรปิฎกจะมีเฉพาะข้อธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ตอนท้ายเรื่องเท่านั้น ซึ่งสามารถดูเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ที่ เล่ม : ๒๖ หน้า : ๑๗๕ ข้อ : ๔๖)

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภกฎุมพีคนหนึ่ง ผู้ที่บิดาตายไป จึงตรัสคำเริ่มต้นนี้ว่า กึ นุ อุมฺมตฺตรูโปว ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี บิดาของกฏุมพีคนหนึ่งได้ตายไป. เพราะบิดาตายไปเขาจึงเศร้าโศก ร้อนรุ่มกลุ้มใจ เที่ยวร้องไห้เหมือนคนบ้า ถามผู้ที่ตนพบเห็นว่า ท่านเห็นบิดาของฉันบ้างไหม ? ใครๆ ไม่อาจจะบรรเทาความเศร้าโศกของเขาได้. แต่อุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลยังโพลงอยู่ในหทัยของเขา เหมือนประทีปที่โพลงอยู่ในหม้อ.

ในเวลาเช้ามืด พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของเธอ ทรงพระดำริว่า เราควรจะนำเหตุที่เป็นอดีตของกุฏุมพีนี้มา แล้วระงับความเศร้าโศก ให้โสดาปัตติผลแก่เธอ ดังนี้แล้ว วันรุ่งขึ้น จึงกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตร ไม่ได้พาใครเป็นปัจฉาสมณะไป (คือเสด็จไปพระองค์เดียวนะครับ - ธัมมโชติ) ไปยังประตูเรือนของกฏุมพีนั้น.

เขาได้ทราบว่าพระศาสดาเสด็จมา จึงต้อนรับ นิมนต์พระศาสดาให้เสด็จเข้าไปยังเรือน เมื่อพระศาสดา ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาบรรจงจัดไว้ ตนเองก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทราบสถานที่ที่บิดาของข้าพระองค์ไปแล้วหรือ ?

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า ดูก่อนอุบาสก เธอถามถึงบิดาในอัตตภาพนี้หรือ หรือว่าในอัตตภาพที่ล่วงไปแล้ว. (คือบิดาในชาตินี้ หรือว่าบิดาในชาติก่อนๆ นะครับ - ธัมมโชติ)

เขาได้ฟังดังนั้น จึงคิดว่า ได้ยินว่าเรามีบิดามาก ดังนี้ จึงมีความเศร้าโศกเบาบาง ได้รับความเศร้าโศกเพียงปานกลาง.

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสธรรมกถาอันเป็นเครื่องบรรเทาความเศร้าโศกแก่เขา ทรงทราบว่าเขาปราศจากความเศร้าโศก มีจิตสมควร จึงให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยสามุกังสิกธรรมเทศนา (คือเทศนาเรื่องอริยสัจ ๔ จนบรรลุเป็นโสดาบันนะครับ - ธัมมโชติ) แล้วได้เสด็จไปยังพระวิหาร.

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า อาวุโส ท่านทั้งหลาย จงดูพุทธานุภาพเถิด อุบาสกผู้เพียบพร้อมด้วยความเศร้าโศก และร่ำไรเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยังทรงแนะนำในโสดาปัตติผลโดยขณะนั้นนั่นเองได้.

พระศาสดาเสด็จไปในที่นั้น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาบรรจงจัดไว้แล้ว จึงตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ ? ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ ที่เรากำจัดความเศร้าโศกของกฏุมพีนี้ออกไป แม้ถึงในกาลก่อน ก็ได้กำจัดออกไปเหมือนกัน ดังนี้แล้ว อันภิกษุเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตมาว่า :-

ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี บิดาของคฤหบดีคนหนึ่งได้ตายไป. เพราะบิดาตายไป เขาจึงเพียบพร้อมไปด้วยความเศร้าโศก มีหน้านองไปด้วยน้ำตา นัยน์ตาแดง คร่ำครวญอยู่ เดินเวียนขวาเชิงตะกอน.

บุตรของเขาชื่อว่าสุชาตะ ยังเป็นเด็ก แต่เป็นคนฉลาดเฉียบแหลม สมบูรณ์ด้วยปัญญา จึงคิดหาอุบายเครื่องกำจัดความเศร้าโศกของบิดา วันหนึ่งเห็นโคตัวหนึ่งตายภายนอกเมือง แล้วนำเอาหญ้าและน้ำมาวางไว้ข้างหน้าของโคที่ตายแล้วนั้น พลางยืนกล่าวว่า เอาจงกิน จงกินเสีย จงดื่ม จงดื่มเถิด.

คนผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าจึงกล่าวว่า สหายสุชาตะ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ ที่ท่านน้อมนำหญ้าและน้ำไปให้โคที่ตายแล้ว เขาไม่ได้โต้ตอบอะไรๆ พวกมนุษย์จึงพากันไปหาบิดาของเขา แล้วกล่าวว่า บุตรของท่านเป็นบ้าไปเสียแล้ว เอาหญ้าและน้ำให้โคที่ตายกิน.

ก็เพราะได้ฟังดังนั้น กฏุมพีก็คลายความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นเพราะปรารภถึงบิดา. เขาถึงความสลดใจว่า ได้ยินว่า บุตรของเรากลายเป็นคนบ้าไป จึงรีบไป พลางท้วงว่า นี่แน่พ่อสุชาตะ เจ้าเป็นผู้ฉลาดเฉียบแหลม สมบูรณ์ด้วยปัญญามิใช่หรือ แต่เหตุไฉน เจ้าจึงเอาหญ้าและน้ำให้โคที่ตายกิน จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ จึงเกี่ยวหญ้าที่เขียวสด
แล้วบังคับโคแก่ที่เป็นสัตว์ตายแล้วว่า จงกิน จงกิน
อันโคตายแล้ว ย่อมไม่ลุกขึ้นกินหญ้าและน้ำมิใช่หรือ
เจ้าเป็นทั้งคนพาล ทั้งเป็นคนทรามปัญญา
เหมือนคนอื่นที่มีปัญญาทราม ฉะนั้น.
สุชาตกุมารได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศความประสงค์ของตน เพื่อให้บิดายินยอม จึงได้กล่าว ๒ คาถาว่า :-
โคตัวนี้ยังมีเท้าทั้ง ๔ ข้าง มีศีรษะ มีตัว
พร้อมทั้งหาง นัยน์ตา ก็มีอยู่ตามเดิม
ข้าพเจ้าคิดว่า โคตัวนี้จะพึงลุกขึ้นกินหญ้าสักวันหนึ่ง
ส่วน มือ เท้า กาย และศีรษะของคุณปู่ไม่ปรากฏ
แต่คุณพ่อมาร้องไห้ถึงกระดูกของปู่
ที่บรรจุไว้ในสถูปดิน จะไม่เป็นคนโง่ไปดอกหรือ.
ความแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ : สังขารทั้งหลายมีความแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป ผู้รู้แจ้งในข้อนั้นจะมีความร่ำไรไปทำไม.

บิดาของพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงคิดว่า บุตรของเราเป็นบัณฑิต ได้ทำกรรมนี้เพื่อให้เราเข้าใจ เมื่อจะสรรเสริญบุตรว่า พ่อสุชาตเอ๋ย เราได้รู้แล้วว่า สัตว์ทั้งปวงมีความตายเป็นธรรมดา ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่เศร้าโศก คนมีปัญญาอันชื่อว่าสามารถขจัดความเศร้าโศกเสียได้ พึงเป็นเช่นกับเจ้านี่แหละ จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
เจ้าดับความกระวนกระวายทั้งปวง
ของเราผู้เร่าร้อนอยู่ให้หาย
เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ราดด้วยน้ำมัน
ได้ถอนขึ้นแล้วหนอซึ่งลูกศรคือความเศร้าโศก
อันเสียบหทัยของบิดา
บิดาผู้มีลูกศรอันถอนได้แล้ว เป็นผู้เย็น สงบแล้ว
ดูก่อนมาณพ ต่อไปนี้ บิดาจะไม่เศร้าโศก
จะไม่ร้องไห้ เพราะฟังคำของเจ้า
ชนเหล่าใดที่มีปัญญา มีความอนุเคราะห์ต่อมารดาบิดา
ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้
ย่อมยังมารดาบิดาให้หายจากความเศร้าโศก
เหมือนพ่อสุชาตะทำให้บิดาหายเศร้าโศก ฉะนั้น.
บิดาฟังคำของมาณพแล้ว เป็นผู้ปราศจากความโศก จึงสนานศีรษะ (สนาน = การอาบน้ำนะครับ - ธัมมโชติ) บริโภคอาหาร ประกอบการงาน.

ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น