Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

เล่มที่ ๒๘-๗ หน้า ๓๗๔ - ๔๓๕

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๘-๗ สุตตันตปิฎกที่ ๒๐ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒



พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๓๑] อีกประการหนึ่ง ลูกหญิงยังขาดแคลนบกพร่องอะไรบ้าง
คนเหล่านั้นรีบนำสิ่งของมาให้ทันใจลูกหรือ
ลูกรักผู้มีพักตร์ผ่องใส ลูกจงทำใจของเจ้าให้ผ่องใส
เช่นกับดวงจันทร์เถิด”
[๑๒๓๒] พระนางรุจาราชธิดาได้สดับพระราชดำรัสของพระเจ้าวิเทหะแล้ว
ได้กราบทูลพระบิดาว่า “ข้าแต่มหาราช
หม่อมฉันได้สิ่งนี้ทั้งหมดในสำนักของพระองค์
[๑๒๓๓] พรุ่งนี้ ๑๕ ค่ำ เป็นวันทิพย์
ขอราชบุรุษทั้งหลายจงนำพระราชทรัพย์พันหนึ่งมาให้หม่อมฉัน
หม่อมฉันจักให้ทานแก่วณิพกทั้งปวงตามที่เคยให้มา”
[๑๒๓๔] พระเจ้าอังคติได้สดับพระดำรัส
ของพระนางรุจาแล้วตรัสว่า
ลูกหญิงทำลายทรัพย์ให้พินาศไปเสียเป็นจำนวนมาก
หาผลประโยชน์มิได้
[๑๒๓๕] ลูกหญิงรักษาอุโบสถศีล ไม่บริโภคข้าวน้ำเป็นนิตย์
ลูกหญิงจักต้องไม่บริโภคข้าวน้ำเป็นนิตย์
บุญไม่มีแก่ผู้ไม่บริโภค
[๑๒๓๖] แม้นายวีชกะได้ฟังคำพูดของคุณาชีวกกัสสปโคตรในเวลานั้น
ถอนหายใจฮึดฮัด ร้องไห้หลั่งน้ำตาแล้ว
[๑๒๓๗] ลูกหญิงรุจาเอ๋ย ตราบใดที่ลูกยังมีชีวิตอยู่
ก็อย่าได้อดอาหารเลย ปรโลกไม่มีหรอก
ลูกหญิงจะลำบากเดือดร้อนไปทำไมไร้ประโยชน์”
[๑๒๓๘] พระนางรุจาผู้มีพระฉวีวรรณงดงาม
ได้สดับพระราชดำรัสของพระเจ้าวิเทหะแล้ว
ก็ทรงทราบกฎธรรมดาในอดีต ๗ ชาติ ในอนาคต ๗ ชาติ
กราบทูลพระบิดาดังนี้ว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๓๙] “แต่ก่อน หม่อมฉันได้แต่ฟังเท่านั้น
หม่อมฉันได้เห็นข้อนี้อย่างประจักษ์ว่า
ผู้ใดคบหาคนพาล ผู้นั้นก็พลอยเป็นพาลไปด้วย
[๑๒๔๐] เพราะว่าคนหลงอาศัยคนหลง
ก็ยิ่งเข้าถึงความหลงหนักขึ้น
อลาตเสนาบดี และนายวีชกะสมควรจะหลง
[๑๒๔๑] ข้าแต่สมมติเทพ ส่วนพระองค์ทรงพระปรีชา
เป็นนักปราชญ์ ทรงฉลาดในอรรถ
จะทรงเป็นเหมือนพวกคนพาลเข้าถึงทิฏฐิต่ำทรามได้อย่างไร
[๑๒๔๒] แม้ถ้าสัตว์จะบริสุทธิ์ได้ด้วยการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
การบวชของคุณาชีวกก็ไร้ประโยชน์
เขาเป็นคนหลงใหลงมงายจะเข้าถึงความเป็นคนเปลือย
เหมือนแมลงหลงบินเข้ากองไฟที่ลุกโชน
[๑๒๔๓] คนส่วนมากผู้ไม่รู้อะไร พอได้ฟังคำของคุณาชีวกว่า
ความหมดจดมีได้ด้วยการท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ
ก็เชื่อมั่นเสียก่อนทีเดียว จึงพากันปฏิเสธกรรมและผลของกรรม
ผลที่เคยยึดถือผิดมาก่อนยากที่จะแก้ได้
เหมือนปลาติดเบ็ดยากที่จะแก้ตนออกจากเบ็ดได้
[๑๒๔๔] ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันจักยกตัวอย่างมาเปรียบเทียบ
เพื่อประโยชน์แก่ทูลกระหม่อมเอง
บัณฑิตบางพวกในโลกนี้ย่อมรู้เนื้อความได้ด้วยการเปรียบเทียบ
[๑๒๔๕] เหมือนเรือของพ่อค้าบรรทุกสินค้าหนักเกินประมาณ
ย่อมทำสินค้าที่หนักยิ่งจมดิ่งลงในมหาสมุทรฉันใด
[๑๒๔๖] คนสั่งสมบาปกรรมไว้ทีละน้อย ๆ
ก็จะพาเอาบาปกรรมที่หนักอย่างยิ่ง
จมดิ่งลงในนรกฉันนั้นเหมือนกัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๔๗] ขอเดชะเสด็จพ่อ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
อกุศลอันหนักของอลาตเสนาบดียังไม่บริบูรณ์ก่อน
อลาตเสนาบดีสั่งสมแต่บาปที่เป็นเหตุให้ไปทุคติ
[๑๒๔๘] ขอเดชะเสด็จพ่อ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
การที่อลาตเสนาบดีได้รับความสุขอยู่ในบัดนี้
เป็นผลบุญที่ตนได้เคยทำไว้ในปางก่อนนั่นเอง พระเจ้าข้า
[๑๒๔๙] บุญของอลาตเสนาบดีนั้นกำลังจะหมดสิ้น
จริงอย่างนั้น บัดนี้ อลาตเสนาบดี
จึงกลับมายินดีในอกุศลกรรมที่ไม่ใช่คุณ
เลิกละทางตรงไปตามทางผิด
[๑๒๕๐] ตราชั่งที่กำลังชั่งของต่ำลงข้างหนึ่ง
เมื่อเอาของหนักออก ข้างที่ต่ำจะสูงขึ้นฉันใด
[๑๒๕๑] นรชนก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อสั่งสมบุญทีละน้อย ๆ ย่อมไปสู่สวรรค์
เหมือนนายวีชกะผู้เป็นทาสยินดีในกรรมอันงาม
[๑๒๕๒] นายวีชกะผู้เป็นทาสเห็นทุกข์ในตนวันนี้
เพราะได้ประสบบาปกรรม
ที่ตนเคยได้ทำไว้ในปางก่อนนั่นเอง
[๑๒๕๓] บาปกรรมของเขากำลังจะหมดสิ้นไป
บัดนี้ เขาจึงกลับมายินดีในข้อแนะนำ
ทูลกระหม่อมอย่าคบกัสสปคุณาชีวกเลย
ขอพระองค์อย่าดำเนินทางผิดเลย
[๑๒๕๔] ข้าแต่พระบิดา บุคคลคบบุคคลเช่นใด
เป็นสัตบุรุษผู้มีศีล หรืออสัตบุรุษผู้ไม่มีศีล
เขาย่อมตกอยู่ในอำนาจของบุคคลนั้นเท่านั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๕๕] บุคคลทำคนเช่นใดให้เป็นมิตรและคบหาคนเช่นใด
แม้เขาก็ย่อมเป็นคนเช่นนั้น
เพราะการอยู่ร่วมกันก็เป็นเช่นนั้น
[๑๒๕๖] ผู้คบย่อมแปดเปื้อนคนคบ
ผู้สัมผัสย่อมแปดเปื้อนคนสัมผัส
เหมือนลูกศรอาบยาพิษย่อมเปื้อนแล่ง
เพราะกลัวจะแปดเปื้อน นักปราชญ์ไม่ควรมีคนชั่วเป็นสหาย
[๑๒๕๗] การคบหาคนพาลก็เหมือนคนเอาใบไม้ห่อปลาเน่า
แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปด้วย
[๑๒๕๘] การคบนักปราชญ์ก็เหมือนคนเอาใบไม้ห่อกฤษณา
แม้ใบไม้ก็มีกลิ่นหอมฟุ้งไปด้วย
[๑๒๕๙] เพราะฉะนั้น บัณฑิตรู้ความเป็นบัณฑิตของตน
ดังใบไม้สำหรับห่อแล้ว จึงเลิกคบอสัตบุรุษ คบแต่สัตบุรุษ
อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก ส่วนสัตบุรุษย่อมนำให้ถึงสุคติ
[๑๒๖๐] แม้หม่อมฉันก็ระลึกชาติที่ตนได้ท่องเที่ยวมาแล้ว
ได้ ๗ ชาติ และรู้ชาติที่ตนจุติจากโลกนี้แล้ว
จักไปเกิดในอนาคตอีก ๗ ชาติ
[๑๒๖๑] ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปกครองประชาชน
ชาติที่ ๗ ของหม่อมฉันในอดีต
หม่อมฉันได้เกิดเป็นบุตรชายของนายช่างทอง
ในกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
[๑๒๖๒] หม่อมฉันอาศัยสหายชั่วทำบาปกรรมไว้มาก
เที่ยวประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่นเหมือนจะไม่ตาย
[๑๒๖๓] กรรมนั้นยังไม่ทันให้ผลเหมือนไฟที่ถูกกลบไว้ด้วยเถ้า
ต่อมา ด้วยกรรมอื่น ๆ หม่อมฉันจึงได้เกิดในแคว้นวังสะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๖๔] ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันเป็นบุตรคนเดียว
ในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่งสมบูรณ์
มีทรัพย์มากในกรุงโกสัมพี
ได้รับสักการะบูชาอยู่เป็นนิตย์
[๑๒๖๕] ในชาตินั้น หม่อนฉันได้คบหามิตรสหาย
ผู้ยินดีในกรรมอันงาม ผู้เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต
สหายนั้นได้แนะนำให้หม่อมฉันตั้งอยู่ในกรรมอันเป็นประโยชน์
[๑๒๖๖] หม่อมฉันได้รักษาอุโบสถศีล
ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตลอดราตรีเป็นอันมาก
กรรมนั้นยังไม่ทันให้ผลเหมือนขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้น้ำ
[๑๒๖๗] ครั้นต่อมา บรรดาบาปกรรมทั้งหลาย
กรรมคือการล่วงละเมิดภรรยาของผู้อื่นใด
ที่หม่อมฉันได้กระทำไว้ในแคว้นมคธ
ผลของกรรมนั้นได้มาถึงหม่อมฉันเข้าแล้วในภายหลัง
เหมือนดื่มยาพิษอันร้ายแรง
[๑๒๖๘] ข้าแต่พระเจ้าวิเทหะ
หม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีในกรุงโกสัมพีนั้นแล้ว
ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรกตลอดกาลนาน
เพราะกรรมของตน หม่อมฉันระลึกถึงทุกข์
ที่ตนเคยได้เสวยมาในนรกนั้น ไม่ได้รับความสุขเลย
[๑๒๖๙] หม่อมฉันทำทุกข์มากมายให้หมดสิ้นไป
ในนรกนั้นมากมายหลายปีแล้ว
จึงเกิดเป็นลาถูกตอนอยู่ในภินนาคตนคร พระเจ้าข้า
[๑๒๗๐] หม่อนฉันต้องพาลูกอำมาตย์ไปด้วยหลังบ้าง ด้วยรถบ้าง
นั่นเป็นผลของกรรมที่ล่วงละเมิดภรรยาของคนอื่นของหม่อมฉัน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๗๑] ข้าแต่พระองค์ผู้ครองแคว้นวิเทหะ
หม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลานั้นแล้วได้ไปเกิดเป็นลิงในป่าใหญ่
ถูกหัวหน้าฝูงตัวคะนองกัดลูกอัณฑะออก
นั่นเป็นผลของกรรมที่ล่วงละเมิดภรรยาของคนอื่นของหม่อมฉัน
[๑๒๗๒] ข้าแต่พระเจ้าวิเทหะ
หม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว
ได้ไปเกิดเป็นโคในแคว้นทสันนะ ถูกตอน มีกำลังแข็งแรงดี
หม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่เป็นเวลานาน
นั่นเป็นผลของกรรมที่ล่วงละเมิดภรรยาผู้อื่นของหม่อมฉัน
[๑๒๗๓] ข้าแต่พระเจ้าวิเทหะ
หม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว
ได้ไปเกิดเป็นกระเทยในตระกูลที่มีโภคสมบัติมากในแคว้นวัชชี
จะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก
นั่นเป็นผลของกรรมคือการล่วงละเมิดภรรยาคนอื่นของหม่อมฉัน
[๑๒๗๔] ข้าแต่พระเจ้าวิเทหะ
หม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกระเทยนั้นแล้ว
ได้ไปเกิดเป็นนางอัปสรในพระอุทยานนันทวันชั้นดาวดึงสพิภพ
มีฉวีวรรณงามน่ารักใคร่
[๑๒๗๕] มีผ้าและอาภรณ์งามวิจิตร ใส่ตุ้มหูแก้วมณี
เก่งในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นปริจาริกาของท้าวสักกะ
[๑๒๗๖] ข้าแต่พระเจ้าวิเทหะ
เมื่อหม่อนฉันอยู่ในชั้นดาวดึงสพิภพนั้น
ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก ๗ ชาติ
ที่หม่อมฉันจุติจากดาวดึงสพิภพนั้นแล้วจักเกิดต่อไป
[๑๒๗๗] กุศลที่หม่อมฉันได้ทำไว้ในกรุงโกสัมพีได้ตามมาให้ผล
หม่อมฉันจุติจากดาวดึงสพิภพแล้ว
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๗๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๗๘] ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันนั้น
ได้รับสักการะบูชาเป็นนิตย์มาตลอด ๗ ชาติ
หม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด ๖ ชาติ
[๑๒๗๙] ข้าแต่สมมติเทพ ชาติที่ ๗
หม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย
คือ เป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา
[๑๒๘๐] แม้วันนี้ เหล่านางอัปสรผู้เป็นปริจาริกาของหม่อมฉัน
ยังช่วยกันร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัยอยู่ในพระอุทยานนันทวัน
เทพบุตรนามว่าชวะ ยังรับพวงมาลัยของหม่อมฉันอยู่
[๑๒๘๑] ๑๖ ปีในมนุษย์นี้เป็นเหมือนครู่หนึ่งของเทวดา
๑๐๐ ปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดา
[๑๒๘๒] ดังที่ได้กราบทูลมานี้ กรรมทั้งหลายติดตามไปได้
แม้ตั้งอสงไขยชาติ
ด้วยว่ากรรมจะดีหรือชั่วก็ตามย่อมไม่พินาศไป
[๑๒๘๓] บุคคลใดปรารถนาจะเป็นชายทุก ๆ ชาติไป
บุคคลนั้นพึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย
เหมือนคนล้างเท้าสะอาดแล้วเว้นเปือกตม
[๑๒๘๔] หญิงใดปรารถนาจะเป็นชายทุก ๆ ชาติไป
หญิงนั้นก็พึงยำเกรงสามีเหมือนนางเทพอัปสร
ผู้เป็นปริจาริกายำเกรงพระอินทร์
[๑๒๘๕] ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศ และสุขทิพย์
ผู้นั้นพึงเว้นบาปทั้งหลายแล้วประพฤติธรรม ๓ อย่าง๑เถิด

เชิงอรรถ :
๑ ธรรม ๓ อย่าง ในที่นี้หมายถึงสุจริต ๓ ที่เป็นไปทางกาย วาจา ใจ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๘๖] หญิงหรือชายก็ตาม ไม่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ
เป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน
[๑๒๘๗] มนุษย์เหล่าใดในชีวโลกนี้
เป็นผู้มียศ มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง
มนุษย์เหล่านั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้ในปางก่อนโดยไม่ต้องสงสัย
สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็นของของตน
[๑๒๘๘] ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์ทรงพระราชดำริ
ด้วยพระองค์เถิด ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมแห่งชน
พระสนมผู้ทรงโฉมงามปานดังนางเทพอัปสร
ประดับประดาคลุมกายด้วยข่ายทองเหล่านี้
พระองค์ทรงได้มาเพราะผลแห่งกรรมอะไร”
[๑๒๘๙] พระนางรุจาราชกัญญาทรงให้พระเจ้าอังคติ
พระชนกนาถพอพระทัย พระราชกุมารีผู้มีวัตรดีงาม
ทรงกราบทูลทางแห่งสุคติแก่พระชนกนาถพระองค์นั้นแล้ว
เหมือนบอกทางให้แก่คนหลงทาง
และได้กราบทูลข้อธรรมถวายด้วยประการฉะนี้
[๑๒๙๐] ต่อมา นารทมหาพรหมตรวจดูชมพูทวีป
ได้เห็นพระเจ้าอังคติ จึงมาจากพรหมโลกถึงถิ่นมนุษย์
[๑๒๙๑] ลำดับนั้น นารทมหาพรหมได้ยืนอยู่ที่ปราสาท
เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าวิเทหะ
พระนางรุจาราชกัญญาได้เห็นนารทฤๅษีนั้น
มาถึงที่แล้ว จึงนมัสการ
[๑๒๙๒] ครั้งนั้น พระราชาทรงมีพระทัยหวาดกลัว
เสด็จลงจากราชอาสน์ เมื่อจะตรัสถามนารทฤๅษี
จึงได้ตรัสพระดำรัสดังนี้ว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๒๙๓] “ท่านผู้มีผิวงามดังเทวดา
ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศดังดวงจันทร์
ท่านมาจากที่ไหนหนอ ข้าพเจ้าถามแล้ว
ขอท่านจงบอกนามและโคตรแก่ข้าพเจ้า
คนทั้งหลายในมนุษยโลกย่อมรู้จักท่านได้อย่างไร”
(นารทฤๅษีกราบทูลว่า)
[๑๒๙๔] อาตมภาพมาจากเทวโลก ณ บัดนี้เอง
ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศดังดวงจันทร์
มหาบพิตรตรัสถามแล้ว
อาตมภาพขอถวายพระพรนามและโคตรให้ทรงทราบ
คนทั้งหลายรู้จักอาตมภาพโดยนามว่านารทะ
และโดยโคตรว่า กัสสปะ
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๑๒๙๕] สัณฐานของท่าน การที่ท่านเหาะไป
และยืนอยู่บนอากาศได้น่าอัศจรรย์
ท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กับท่าน
เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงมีฤทธิ์เช่นนี้
(นารทฤๅษีทูลตอบว่า)
[๑๒๙๖] คุณธรรม ๔ ประการนี้ คือ (๑) สัจจะ (๒) ธรรม
(๓) ทมะ (๔) จาคะ๑ อาตมภาพได้ทำไว้แล้วในภพก่อน
เพราะคุณธรรมที่อาตมภาพได้เสพมาดีแล้วนั้นแหละ
อาตมภาพจึงไปได้เร็วทันใจตามความปรารถนา

เชิงอรรถ :
๑ คุณธรรม ๔ ประการนี้ มีอธิบาย ดังนี้ สัจจะ หมายถึงวจีสัจที่เว้นจากมุสาวาท ธรรม หมายถึงธรรม
คือสุจริต ๓ และธรรมคือการเพ่งกสิณบริกรรม (การปฏิบัติสมถกัมมัฏฐาน) ทมะ หมายถึงการฝึก
อินทรีย์ (สำรวมทวาร ๖) จาคะ หมายถึงการสละกิเลสและการสละไทยธรรม (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๒๙๘/๑๖๔)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๑๒๙๗] เมื่อท่านบอกความสำเร็จแห่งบุญ
ชื่อว่าท่านบอกความอัศจรรย์
ถ้าเป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าว ท่านนารทะ
ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กับท่าน
ขอท่านจงพยากรณ์ให้ดี
(นารทฤๅษีทูลตอบว่า)
[๑๒๙๘] ขอถวายพระพรมหาบพิตร ข้อใดพระองค์ทรงสงสัย
ขอเชิญมหาบพิตรตรัสถามข้อนั้นกับอาตมภาพเถิด
อาตมภาพจะวิสัชนาถวายให้มหาบพิตรทรงสิ้นสงสัย
ทั้งโดยนัยด้วยความรู้และด้วยเหตุผล
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๑๒๙๙] ท่านนารทะ ข้าพเจ้าขอถามเนื้อความนี้กับท่าน
ท่านอย่าได้กล่าวมุสาต่อข้าพเจ้า ที่คนพูดกันว่า
“เทวดามี มารดาและบิดามี ปรโลกมี” นั้นเป็นจริงหรือ
(นารทฤๅษีทูลตอบว่า)
[๑๓๐๐] ที่คนพูดกันว่า “เทวดามี มารดาและบิดามี
และปรโลกมี” นั้นเป็นจริงทั้งนั้น
แต่คนทั้งหลายหมกมุ่น ติดใจ หลงใหล
งมงายในกามคุณ จึงไม่รู้จักปรโลก
(พระราชาตรัสถามว่า)
[๑๓๐๑] ท่านนารทะ ถ้าท่านเชื่อว่า “ปรโลกมีจริง”
เหล่าสัตว์ที่ตายไปแล้วก็ต้องมีที่อยู่ในปรโลก
ขอท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ แก่ข้าพเจ้าในโลกนี้แหละ
ข้าพเจ้าจักให้แก่ท่านพันหนึ่งในปรโลก

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
(นารทฤๅษีทูลตอบว่า)
[๑๓๐๒] ถ้าอาตมภาพรู้ว่า “มหาบพิตรทรงมีศีล
ทรงรู้ความประสงค์ของพวกผู้ขอ
อาตมภาพก็จะให้มหาบพิตรสัก ๕๐๐
แต่มหาบพิตรหยาบช้า ทรงจุติจากโลกนี้แล้ว
จะต้องไปอยู่ในนรก
ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกได้
[๑๓๐๓] ผู้ใดในโลกนี้ไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว
เกียจคร้าน มีกรรมหยาบ
บัณฑิตทั้งหลายไม่ให้กู้หนี้ในผู้นั้น
เพราะจะไม่ได้ทรัพย์คืนจากคนเช่นนั้น
[๑๓๐๔] ส่วนคนขยันหมั่นเพียร มีศีล รู้ความประสงค์ของผู้ขอ
คนทั้งหลายรู้แล้วย่อมนำโภคทรัพย์มาเชื้อเชิญเอง
ด้วยคิดว่า “ผู้นี้ทำการงานเสร็จแล้วพึงนำมาใช้คืนให้”
[๑๓๐๕] ขอถวายพระพร มหาบพิตรจุติจากที่นี่แล้ว
จักทอดพระเนตรเห็นพระองค์เองอยู่ในนรกนั้น
ผู้ถูกฝูงกายื้อแย่งฉุดคร่าอยู่
ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกกับมหาบพิตร
ผู้ตกอยู่ในนรกซึ่งถูกฝูงกา แร้ง และสุนัขรุมกัดกิน
ตัวขาดกระจัดกระจาย เลือดไหลโทรมอยู่
[๑๓๐๖] ในโลกันตนรกนั้นมืดมิดที่สุด
ไม่มีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
โลกันตนรกนั้นมืดมิดอยู่เป็นนิตย์ น่ากลัว
กลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ ผู้ต้องการทรัพย์
ใครเล่าจะพึงเที่ยวไปในสถานที่นั้นได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๐๗] ในโลกันตนรกนั้นมีสุนัข ๒ ตัว คือ
สุนัขด่างและสุนัขดำคล้ำ มีตัวกำยำ ล่ำสัน แข็งแรง
พากันใช้เขี้ยวเหล็กกัดกินผู้ที่จุติจากมนุษยโลกนี้แล้ว
ไปตกอยู่ในนรก
[๑๓๐๘] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกกับมหาบพิตร
ผู้ถูกฝูงสุนัขทารุณโหดร้าย ตัวนำทุกข์มาให้รุมกัดกินอยู่
อยู่ในนรกจนตัวขาดกระจัดกระจาย เลือดไหลโทรม
[๑๓๐๙] และในนรกที่โหดร้าย มีพวกนายนิรยบาลชื่อกาฬะและอุปกาฬะ
ผู้เป็นข้าศึกใช้ดาบและหอกที่ลับไว้เป็นอย่างดี
เชือดเฉือนและทิ่มแทงคนผู้ทำกรรมชั่วไว้ในภพก่อน
[๑๓๑๐] ใครเล่าจะพึงไปทวงถามเอาทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลก
กับมหาบพิตรผู้ถูกทิ่มแทงเข้าที่พระอุทร
ที่พระปรัศว์ มีพระอุทรพรุนวิ่งไปมาอยู่ในนรก
มีตัวขาดกระจัดกระจายเลือดไหลโทรมได้
[๑๓๑๑] ในโลกันตนรกนั้น มีห่าฝนชนิดต่าง ๆ คือ ฝนหอก
ฝนดาบ ฝนแหลน ฝนหลาว มีประกายลุกวาว
เหมือนถ่านเพลิงตกลงบนศีรษะ
สายอัสนีบาตศิลาแดงโชนตกลงทับสัตว์นรกผู้มีกรรมหยาบช้า
[๑๓๑๒] และในนรกนั้น มีลมร้อนอันยากที่จะทนได้
สัตว์ในนรกนั้นไม่ได้รับความสุขแม้แต่น้อย
ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกกับมหาบพิตร
ผู้ทรงกระสับกระส่ายวิ่งพล่านไปมา หาที่ซ่อนเร้นมิได้
[๑๓๑๓] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกกับมหาบพิตร
ผู้ถูกเทียมไว้ในรถวิ่งไปมาอยู่
ต้องทรงเหยียบแผ่นดินที่ลุกโชน
ถูกทิ่มแทงด้วยดีด้วยปฏักอยู่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๑๔] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กับมหาบพิตร
ผู้ทนอยู่ไม่ได้วิ่งไปขึ้นภูเขาที่ดารดาษไปด้วยขวากกรด
ลุกโชนน่าสยดสยองอย่างยิ่ง มีตัวถูกตัดขาด
หลั่งเลือดไหลโทรมอยู่ได้
[๑๓๑๕] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ ในปรโลกกับมหาบพิตร
ผู้ต้องวิ่งขึ้นไปเหยียบถ่านเพลิงกองเท่าภูเขาที่ลุกโชน
น่ากลัว มีตัวถูกไฟไหม้ทนไม่ไหว
ร้องครวญครางอย่างน่าสงสารอยู่ได้
[๑๓๑๖] ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยหนามเหล็กคม
กระหายจะดูดดื่มเลือดคน
[๑๓๑๗] หญิงทั้งหลายที่ประพฤตินอกใจสามี
และชายหญิงทั้งหลายที่เป็นชู้กับภรรยาของคนอื่น
ถูกนายนิรยบาลผู้ทำตามคำสั่งของพญายม
ถือหอกไล่ทิ่มแทงให้ขึ้นต้นงิ้วนั้น
[๑๓๑๘] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์นั้น
กับมหาบพิตรผู้ต้องปีนขึ้นต้นงิ้วในนรก
มีเลือดไหลเปรอะเปื้อน มีกายไหม้เกรียม
มีหนังและเนื้อถลอกปอกเปิกกระสับกระส่าย
เสวยเวทนาอย่างหนัก
[๑๓๑๙] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์นั้นกับมหาบพิตร
ผู้เหนื่อยหอบมีความผิดเพราะบุรพกรรมในทางผิด
เนื้อตัวมีหนังถลอกปอกเปิกไป
[๑๓๒๐] ต้นงิ้วสูงเทียมเมฆ เต็มไปด้วยใบเหล็กคมดังดาบ
กระหายจะดูดดื่มเลือดคน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๒๑] ใครเล่าจะพึงไปทวงทรัพย์ ๑,๐๐๐ กับมหาบพิตร
ผู้กำลังปีนขึ้นต้นงิ้วนั้น
ก้าวไปเหยียบใบเหล็กอันคมเหมือนดาบ
ก็ถูกดาบอันคมนั้นบาด ตัวขาดกระจัดกระจาย
เลือดไหลโทรมอยู่ในปรโลกได้
[๑๓๒๒] ทรัพย์จำนวนนั้น ใครเล่าจะพึงไปขอกับมหาบพิตร
ผู้เดินหนีออกจากขุมนรกไม้งิ้วมีใบเป็นดาบ
พลัดตกลงไปสู่แม่น้ำเวตตรณีได้
[๑๓๒๓] แม่น้ำเวตตรณีมีน้ำเป็นกรด หยาบแข็ง
เผ็ดร้อน ข้ามได้ยาก
ปกคลุมไปด้วยบัวเหล็กมีใบคมไหลไปอยู่
[๑๓๒๔] ทรัพย์จำนวนนั้น ใครเล่าจะไปขอกับมหาบพิตร
ผู้มีตัวขาดกระจัดกระจาย มีเลือดเปรอะเปื้อน
ลอยอยู่ในแม่น้ำเวตตรณี ที่นั้นหาที่เกาะมิได้
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๓๒๕] ข้าพเจ้าแทบจะล้มเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัด
ข้าพเจ้าหลงสำคัญผิด จึงไม่รู้จักทิศ ท่านฤๅษี
ข้าพเจ้าได้ฟังคาถาภาษิตของท่านแล้ว
ร้อนใจ เพราะกลัวมหาภัย
[๑๓๒๖] ท่านฤๅษี ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
เหมือนน้ำสำหรับแก้กระหายในเวลาร้อน
เหมือนเกาะเป็นที่พึ่งของพวกคนที่มีเรืออับปาง
หาที่พึ่งไม่ได้ในมหาสมุทร
และเหมือนดวงประทีปสำหรับส่องทาง
ของพวกคนผู้เดินทางมืดเถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๒๗] ท่านฤๅษี ขอท่านจงสอนอรรถและธรรมแก่ข้าพเจ้า
ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำความผิดไว้ส่วนเดียว
ท่านนารทะ ขอท่านจงบอกทางบริสุทธิ์แก่ข้าพเจ้า
โดยที่ข้าพเจ้าจะไม่พึงตกไปในนรกด้วยเถิด
(นารทฤๅษีกราบทูลว่า)
[๑๓๒๘] พระราชา ๖ พระองค์นี้ คือ (๑) ท้าวธตรัฏฐะ
(๒) ท้าวเวสสามิตะ (๓) ท้าวอัฏฐกะ
(๔) ท้าวยมทัคคิ (๕) ท้าวอุสินนระ
(๖) ท้าวสิวิราช ได้ทรงบำรุงสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายแล้ว
[๑๓๒๙] พระราชาเหล่านั้นและพระราชาเหล่าอื่นเสด็จไปสู่สวรรค์ฉันใด
มหาบพิตรผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน แม้มหาบพิตรก็ฉันนั้น
จงทรงเว้นอธรรมแล้วทรงประพฤติธรรมเถิด
[๑๓๓๐] ราชบุรุษทั้งหลายจงถืออาหารไปประกาศในพระราชนิเวศน์
และภายในพระนครว่า ใครหิว ใครกระหาย
ใครปรารถนาดอกไม้ ใครปรารถนาเครื่องลูบไล้
ใครไม่มีผ้านุ่งห่ม ก็จงนุ่งห่มผ้าสีต่าง ๆ ตามปรารถนาเถิด
[๑๓๓๑] ใครต้องการร่ม ใครต้องการรองเท้าที่อ่อนนุ่ม สวยงาม
ในทางเปลี่ยว ราชบุรุษทั้งหลายจงประกาศไปดังนี้
ในพระนครของพระองค์ทั้งในเวลาเย็นและเวลาเช้า
[๑๓๓๒] มหาบพิตรจงอย่าใช้งานคนแก่ โคแก่
และม้าแก่เหมือนแต่ก่อน
และจงพระราชทานเครื่องบริหารแก่คนที่เป็นกำลัง
ซึ่งเคยได้ทำความดีไว้เท่าเดิมเถิด
[๑๓๓๓] มหาบพิตรจงสำคัญพระวรกายของพระองค์ว่าเป็นดังรถ
มีใจเป็นนายสารถี กระปรี้กระเปร่า
มีอวิหิงสาเป็นเพลา มีปริจาคะเป็นหลังคา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๓๔] มีการสำรวมเท้าเป็นกง
มีการสำรวมมือเป็นดุม
มีการสำรวมท้องเป็นน้ำมันหยอด
มีการสำรวมวาจาเป็นความเงียบสนิท
[๑๓๓๕] มีการกล่าวคำสัตย์เป็นส่วนประกอบรถที่บริสุทธิ์
มีการไม่กล่าวคำส่อเสียดเป็นการเข้าหน้าไม้ได้สนิท
มีการกล่าวคำอ่อนหวานเป็นเครื่องรถที่เกลี้ยงเกลา
มีการกล่าวพอประมาณเป็นเครื่องผูกมัด
[๑๓๓๖] มีศรัทธาและความไม่โลภเป็นเครื่องประดับ
มีความถ่อมตนและการทำอัญชลีเป็นธูป
มีความไม่แข็งกระด้างเป็นงอน
มีความสำรวมศีลเป็นเชือกขันชะเนาะ
[๑๓๓๗] มีความไม่โกรธเป็นเครื่องกันกระทบกระทั่ง
มีคุณธรรมเป็นเศวตฉัตร
มีพาหุสัจจะเป็นสายพาน
มีจิตตั้งมั่นเป็นที่มั่น
[๑๓๓๘] มีความคิดรู้จักกาลเป็นไม้แก่น
มีความแกล้วกล้าเป็นไม้ค้ำสามแฉก
มีความประพฤติถ่อมตนเป็นเชือกขันแอก
มีความไม่เย่อหยิ่งเป็นแอกเบา
[๑๓๓๙] มีจิตไม่หดหู่เป็นเครื่องลาด
มีการคบคนผู้เจริญเป็นเครื่องกำจัดธุลี
นักปราชญ์มีสติเป็นปฏัก
มีความเพียรและการใช้การปฏิบัติเกื้อกูลเป็นสายบังเหียน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๘๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๘.มหานารทกัสสปชาดก (๕๔๕)
[๑๓๔๐] มีใจที่ฝึกฝนดีแล้วเหมือนม้า
ที่ได้รับฝึกสม่ำเสมอเป็นเครื่องนำทาง
ความปรารถนาและความโลภเป็นทางคด
ส่วนความสำรวมเป็นทางตรง
[๑๓๔๑] ขอถวายพระพรมหาบพิตร
ปัญญาเป็นเครื่องทิ่มแทงม้า
ในรถคือพระวรกายของมหาบพิตร
ที่กำลังโลดแล่นไปในรูป เสียง กลิ่น รส
ในรถคือพระวรกายของมหาบพิตรนั้น
มีตนคือจิตของพระองค์เท่านั้นเป็นนายสารถี
[๑๓๔๒] ถ้าความประพฤติชอบ
และความเพียรมั่นคงมีอยู่กับยานนี้
รถนั้นจะให้สมบัติที่น่าใคร่ได้ทุกอย่างและไม่นำไปเกิดในนรก
(พระศาสดาทรงประชุมชาดก ดังนี้)
[๑๓๔๓] อลาตเสนาบดีเป็นพระเทวทัต
สุนามอำมาตย์เป็นพระภัททชิ
วิชัยอำมาตย์เป็นพระสารีบุตร
ชีวกบุรุษเป็นพระโมคคัลลานะ
[๑๓๔๔] สุนักขัตตะเป็นบุตรของเจ้าลิจฉวี คุณาชีวกเป็นชีเปลือย
พระนางรุจาราชธิดาผู้ทรงนำพระราชาให้ทรงเลื่อมใส
เป็นพระอานนท์
[๑๓๔๕] พระเจ้าอังคติผู้มีทิฏฐิชั่วในครั้งนั้นเป็นพระอุรุเวลกัสสปะ
ท้าวมหาพรหมโพธิสัตว์เป็นเราตถาคต
พวกเธอจงทรงจำชาดกไว้ด้วยประการฉะนี้แล
มหานารทกัสสปชาดกที่ ๘ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
๙. วิธุรชาดก๑ (๕๔๖)
ว่าด้วยวิธุรบัณฑิตบำเพ็ญปัญญาบารมี
โทหฬกัณฑ์
ตอนว่าด้วยความแพ้ท้อง
(พญานาคตรัสถามนางนาควิมลามเหสีว่า)
[๑๓๔๖] “เธอมีผิวพรรณเหลือง ซูบผอม มีกำลังน้อย
เมื่อก่อน ผิวพรรณของเธอมิได้เป็นเช่นนี้เลย
น้องวิมลา พี่ถามแล้ว ขอเธอจงบอก
เวทนาในร่างกายของเธอเป็นเช่นไร”
(นางนาควิมลาทูลตอบว่า)
[๑๓๔๗] “พระองค์ผู้เป็นจอมชน ชื่อว่าความแพ้ท้อง
เป็นธรรมดาของมารดาทั้งหลายในหมู่มนุษย์
พระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่นาค
หม่อมฉันปรารถนาอย่างยิ่งซึ่งดวงหทัย
ของวิธุรบัณฑิตที่นำมาได้โดยชอบธรรม พระเจ้าข้า”
(พญานาคตรัสว่า)
[๑๓๔๘] “เธอแพ้ท้องปรารถนาหทัยของวิธุรบัณฑิต
ก็จะเหมือนกับปรารถนาดวงจันทร์
และดวงอาทิตย์ หรือปรารถนาลม
เพราะว่าวิธุรบัณฑิตยากที่บุคคลจะพบได้
ใครเล่าจักนำวิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพนี้ได้”

เชิงอรรถ :
๑ พระศาสดาเมื่อประทับ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภการบำเพ็ญปัญญาบารมี ตรัสวิธุรชาดกนี้ ซึ่งมีคำ
เริ่มต้นว่า เธอมีผิวพรรณเหลือง ซูบผอม มีกำลังน้อย ดังนี้เป็นต้น (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๘๐)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
(นางนาคอิรันทดีผู้ธิดากราบทูลว่า)
[๑๓๔๙] “ข้าแต่พระบิดา เหตุไรหนอ พระองค์จึงทรงซบเซาอยู่
พระพักตร์ของพระองค์เหมือนดอกปทุมที่ถูกขยำด้วยมือ
ข้าแต่พระบิดาผู้เป็นอิสราธิบดี เป็นที่เกรงขามของศัตรู
เพราะเหตุไรหนอ พระองค์จึงทรงทุกข์พระทัย
ขออย่าทรงเศร้าโศกเลย พระเจ้าข้า”
(พญานาควรุณตรัสว่า)
[๑๓๕๐] “อิรันทดีลูกรัก มารดาของเจ้าปรารถนาซึ่งดวงหทัย
ของวิธุรบัณฑิต เพราะวิธุรบัณฑิตยากที่ใครจะพบได้
ใครเล่าจักนำวิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพนี้ได้
[๑๓๕๑] เจ้าจงเที่ยวไปแสวงหาสามี
ผู้ซึ่งจักนำวิธุรบัณฑิตมาในนาคพิภพนี้”
นางนาคมาณวิกานั้นได้สดับพระดำรัสของพระบิดาแล้ว
มีจิตชุ่มด้วยกิเลสออกไปเที่ยวตลอดคืน
(นางนาคอิรันทดีกล่าวว่า)
[๑๓๕๒] “คนธรรพ์ รากษส นาค กินนร หรือมนุษย์พวกไหน
คนไหนเป็นบัณฑิตสามารถจะให้สิ่งที่น่าใคร่ทั้งปวงได้
เขาจักเป็นสามีของเราตลอดกาล”
(เสนาบดียักษ์กล่าวว่า)
[๑๓๕๓] “นางผู้มีนัยน์ตาหาที่ติมิได้ ขอเธอจงเบาใจเถิด
เราจักเป็นผู้เลี้ยงดูเธอ
เพราะปัญญาของเราสามารถจะนำเนื้อดวงหทัย
ของวิธุรบัณฑิตมาให้ได้
ขอจงเบาใจเถิด เธอจักเป็นภรรยาของเรา

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
[๑๓๕๔] นางอิรันทดีผู้มีใจกำหนัดรักใคร่
เพราะเคยร่วมอภิรมย์กันมาในภพก่อน
ได้กล่าวกับปุณณกยักษ์ว่า
“มาเถิดท่าน เราจักไปในสำนักของพระบิดาของฉัน
พระบิดาของฉันนี่แหละจักตรัสบอกเนื้อความนี้แก่ท่าน”
[๑๓๕๕] นางอิรันทดีประดับตกแต่งนุ่งผ้าเรียบร้อยแล้ว
ทัดทรงดอกไม้ประพรมด้วยจุรณแก่นจันทน์
จูงมือปุณณกยักษ์เข้าไปยังสำนักของพระบิดา
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๓๕๖] “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นาค
ขอพระองค์ได้โปรดสดับถ้อยคำของข้าพระองค์
ขอพระองค์จงทรงรับสินสอดตามสมควร
ข้าพระองค์ปรารถนาพระนางอิรันทดี
ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระองค์
ได้อยู่ร่วมกับพระนางอิรันทดีเถิด
[๑๓๕๗] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ
ขอพระองค์โปรดได้ทรงพระกรุณารับสินสอดนั้น
คือ ช้าง ๑๐๐ เชือก ม้า ๑๐๐ ตัว
รถที่เทียมด้วยม้าอัสดร ๑๐๐ คัน
เกวียนบรรทุกของเต็มด้วยรัตนะต่าง ๆ ๑๐๐ เล่ม
ขอได้โปรดพระราชทานพระราชธิดาอิรันทดีให้แก่ข้าพระองค์เถิด”
(พญานาคตรัสว่า)
[๑๓๕๘] “ขอท่านจงรออยู่จนกว่าเราจะได้ปรึกษาหารือ
กับบรรดาญาติ มิตร และเพื่อนที่สนิทเสียก่อน
(เพราะ)กรรมที่กระทำลงไปโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกันนั้น
ย่อมเดือดร้อนใจในภายหลัง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๓๕๙] ลำดับนั้น ท้าววรุณนาคราชเสด็จเข้าไปสู่นิเวศน์
ปรึกษากับพระชายา ตรัสคำนี้ว่า
[๑๓๖๐] “ปุณณกยักษ์นี้นั้นมาขอลูกอิรันทดีกับเรา
เราจะให้ลูกอิรันทดีผู้เป็นที่รักของเราแก่ปุณณกยักษ์นั้น
เพราะได้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจเป็นจำนวนมากหรือ”
(นางนาควิมลามเหสีกราบทูลว่า)
[๑๓๖๑] “ปุณณกยักษ์ไม่พึงได้ลูกอิรันทดีของเรา
เพราะทรัพย์ เพราะสิ่งที่น่าปลื้มใจ
แต่ถ้าปุณณกยักษ์จะพึงได้หทัยของบัณฑิต
นำมาในนาคพิภพนี้ได้โดยชอบธรรม
เขาจะพึงได้ลูกสาวของเราเพราะสิ่งที่น่าปลื้มใจนั้น
หม่อมฉันไม่ปรารถนาทรัพย์อื่นยิ่งกว่านี้
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๓๖๒] ลำดับนั้น ท้าววรุณนาคราชเสด็จออกจากนิเวศน์
ตรัสเรียกปุณณกยักษ์มาแล้วตรัสดังนี้ว่า
[๑๓๖๓] “ท่านไม่พึงได้ลูกอิรันทดีของเรา
เพราะทรัพย์ เพราะสิ่งที่น่าปลื้มใจ
ถ้าท่านได้หทัยของบัณฑิตนำมาในนาคพิภพนี้ได้โดยชอบธรรม
ท่านจะพึงได้ลูกสาวของเราเพราะสิ่งที่น่าปลื้มใจนั้น
เราไม่ปรารถนาทรัพย์อื่นยิ่งไปกว่านี้”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๓๖๔] “ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐในโลกนี้
คนบางคนย่อมเรียกคนใดว่าเป็นบัณฑิต
คนอีกพวกหนึ่งกลับเรียกคนนั้นนั่นแหละว่าเป็นพาล

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
ในเรื่องนี้ คนทั้งหลายยังกล่าวแย้งกันอยู่
ขอพระองค์ได้ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์
พระองค์ทรงเรียกใครเล่าว่า เป็นบัณฑิต”
(พญานาควรุณตรัสว่า)
[๑๓๖๕] “บัณฑิตชื่อว่าวิธุระ ผู้ทำการสั่งสอนอรรถธรรม
แก่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะ ถ้าท่านได้ยินได้ฟังมาแล้ว
ขอท่านจงไปนำบัณฑิตนั้นมา
ครั้นท่านได้มาโดยชอบธรรมแล้ว
นางอิรันทดีจงเป็นผู้บำเรอเท้า (ภรรยา) ของท่านเถิด
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๓๖๖] ฝ่ายปุณณกยักษ์ได้สดับพระดำรัสของท้าววรุณนาคราชนี้แล้ว
ก็ยินดียิ่งนัก ลุกขึ้นแล้วไปสั่งบุรุษคนใช้ของตน
ผู้อยู่ในที่นั้นนั่นแหละว่า
“เจ้าจงนำม้าอาชาไนยที่เตรียมไว้มาที่นี้นั่นแหละให้ได้
[๑๓๖๗] ม้าอาชาไนยตัวนั้นมีหูทั้ง ๒ ข้างประดับด้วยทอง
มีกีบหุ้มแล้วด้วยแก้วมณีแดง
มีเครื่องประดับอกทำด้วยทองชมพูนุทอันสุกปลั่ง”
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า)
[๑๓๖๘] “ปุณณกยักษ์ผู้ประดับแล้ว
จัดแจงแต่งผมและหนวดดีแล้ว
ก็ขึ้นขี่ม้าอันเป็นยานพาหนะของเทวดา
เหาะไปในอากาศกลางหาว
[๑๓๖๙] ปุณณกยักษ์นั้นกำหนัดด้วยกามราคะ
กำลังปรารถนานางอิรันทดีนาคกัญญา
ไปกราบทูลท้าวกุเวรเวสสุวรรณผู้เรืองยศเป็นใหญ่แห่งภูตว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
[๑๓๗๐] ภพนาคนั้นเขาเรียกว่า โภควดีนครบ้าง
วาสนานครบ้าง หิรัญวดีนครบ้าง
เป็นเมืองนิรมิตล้วนแต่ทองคำ
สำเร็จแก่พญานาคผู้สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ทุกอย่าง
[๑๓๗๑] ป้อมและเชิงเทินสร้างมีรูปทรงเหมือนคออูฐ
ทำด้วยแก้วแดงและแก้วลาย
ในนาคพิภพนั้น มีปราสาททำด้วยศิลา
มุงด้วยกระเบื้องทองคำ
[๑๓๗๒] ในนาคพิภพนั้น มีไม้มะม่วง ไม้หมากเม่า
ไม้หว้า ไม้ตีนเป็ด ไม้จิก
ไม้เกด ไม้ประยงค์ ไม้ราชพฤกษ์
ไม้มะม่วงหอม ไม้ชะบา และไม้ย่านทราย
[๑๓๗๓] ไม้จำปา ไม้กากะทิง มะลิซ้อน มะลิลา
และไม้กระเบา ต้นไม้ในนาคพิภพเหล่านี้
มีกิ่งโน้มเข้าหากัน ยังมณเฑียรของนาคราชให้งามยิ่งนัก
[๑๓๗๔] ในนาคพิภพนั้น มีต้นอินทผลัมสำเร็จแล้วด้วยแก้วอินทนิล
ผลิดอกล้วนแต่ทองเป็นนิตย์จำนวนมาก
ซึ่งเป็นที่อยู่ของท้าววรุณนาคราชผู้มีฤทธิ์มาก ผู้ผุดเกิด
[๑๓๗๕] พญานาคนั้นมีมเหสีกำลังสาวรุ่นทรงพระนามว่าวิมลา
มีพระรูปโฉมสง่างามดังแท่งทองคำ
สูงโปร่งสะโอดสะองดังหน่อเถาจิงจ้อดำ
ทั้งคู่มีสัณฐานดังผลมะพลับงดงามน่าชมยิ่งนัก
[๑๓๗๖] มีพระฉวีวรรณแดงประดุจน้ำครั่ง
เปรียบเสมือนดอกกรรณิการ์ที่แย้มบานน้อมลง
เหมือนดังนางอัปสรที่เที่ยวไปในภพชั้นดาวดึงส์
หรือเหมือนสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
[๑๓๗๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ พระนางวิมลานั้นทรงแพ้พระครรภ์
ทรงปรารถนาซึ่งดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต
ข้าพระองค์จะถวายดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตนั้น
แก่ท้าววรุณนาคราชและพระนางวิมลาทั้ง ๒ พระองค์นั้น
เพราะเหตุนั้น ท้าวเธอทั้ง ๒ พระองค์นั้น
จะพระราชทานพระนางอิรันทดีให้แก่ข้าพระองค์
[๑๓๗๘] ปุณณกยักษ์นั้นทูลลาท้าวกุเวรเวสสุวรรณผู้เรืองยศ
เป็นใหญ่แห่งหมู่ยักษ์แล้ว
ไปสั่งบุรุษคนใช้ของตนในที่นั้นนั่นแหละว่า
เจ้าจงนำม้าอาชาไนยที่เตรียมไว้มา ณ ที่นี้เถิด
[๑๓๗๙] ม้าอาชาไนยตัวนั้นมีหูทั้ง ๒ ข้างประดับด้วยทอง
มีกีบหุ้มแล้วแก้วมณีแดง
มีเครื่องประดับอกทำด้วยทองชมพูนุทอันสุกปลั่ง
[๑๓๘๐] ปุณณกยักษ์ผู้ประดับแล้ว
จัดแจงแต่งผมและหนวดดีแล้ว
ก็ขึ้นขี่ม้าอันเป็นยานพาหนะของเทวดา
เหาะไปในอากาศกลางหาว
[๑๓๘๑] ปุณณกยักษ์นั้นได้เหาะไปยังกรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์นัก
เป็นนครของพระเจ้าอังคะที่พวกข้าศึกไม่กล้าเข้าใกล้
มีภักษาหาร ข้าว และน้ำมากมาย
ดังภพของท้าววาสวะ ซึ่งชื่อว่ามสักกสาระ
[๑๓๘๒] เป็นนครที่อึกทึกกึกก้องไปด้วยฝูงนกยูงและนกกระเรียน
อื้ออึงไปด้วยฝูงนกต่าง ๆ ชนิด
เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงนก
มีนกต่าง ๆ ส่งเสียงร่ำร้องอยู่อึงมี่
มีเนินสวยงาม ดารดาษไปด้วยดอกไม้เหมือนภูเขาหิมพานต์

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
[๑๓๘๓] ปุณณกยักษ์นั้นขึ้นเวปุลลบรรพตซึ่งเป็นภูเขาศิลาล้วน
เป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่กินนร
เที่ยวแสวงหาแก้วมณีดวงประเสริฐอยู่
จึงได้เห็นแก้วมณีนั้นในท่ามกลางยอดเขา
[๑๓๘๔] ครั้นได้เห็นแก้วมณีอันมีรัศมีผุดผ่อง
เป็นแก้วมณีที่ประเสริฐสุด
สามารถนำทรัพย์มาให้ได้ดังใจมุ่งหมาย
รุ่งโรจน์โชติช่วงอยู่กับหมู่แก้วบริวารเป็นอันมาก
สว่างไสวอยู่ดังสายฟ้าในอากาศ
[๑๓๘๕] จึงได้ถือแก้วไพฑูรย์ชื่อว่า มโนหรจินดา
อันมีค่ามาก มีอานุภาพมาก เป็นผู้มีวรรณะไม่ทราม
ขึ้นขี่หลังม้าอาชาไนยเหาะไปในอากาศกลางหาว
[๑๓๘๖] ปุณณกยักษ์นั้นได้เหาะไปถึงกรุงอินทปัตถ์
ลงมาแล้วเข้าไปสู่ที่ประชุมของชาวกุรุรัฐ
ไม่เกรงกลัวพระราชา ๑๐๑ พระองค์
ที่ประชุมพร้อมเพรียงกันอยู่ ณ ที่นั้น
กล่าวท้าทายด้วยสะกาว่า
[๑๓๘๗] บรรดาพระราชาในราชสมาคมนี้ พระองค์ไหนหนอ
จะทรงชิงเอาแก้วมณีอันประเสริฐของข้าพระองค์ได้
หรือข้าพระองค์จะพึงชนะพระราชาพระองค์ไหน
ด้วยทรัพย์อันประเสริฐ
เมื่อชนะจะชิงเอาแก้วมณีอันประเสริฐอันยอดเยี่ยม
กับพระราชาพระองค์ไหน
อีกประการหนึ่ง พระราชาพระองค์ไหนจะทรงชนะข้าพระองค์
ด้วยทรัพย์อันประเสริฐ”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) โทหฬกัณฑ์
(พระเจ้าโกรัพยะตรัสถามว่า)
[๑๓๘๘] “ชาติภูมิของท่านอยู่แคว้นไหน
ถ้อยคำของท่านนี้ไม่ใช่ถ้อยคำของชาวกุรุรัฐเลย
ท่านมิได้เกรงกลัวเราทั้งมวลด้วยรัศมีแห่งผิวพรรณ
ท่านจงบอกชื่อและพวกพ้องของท่านแก่เรา”
(ปุณณกยักษ์ทูลตอบว่า)
[๑๓๘๙] “ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์เป็นมาณพ
กัจจายนโคตรชื่ออนูนะ
ญาติ ๆ และพวกพ้องของข้าพระองค์อยู่ในแคว้นอังคะ
ต่างก็พากันเรียกข้าพระองค์อย่างนี้
ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์มาถึงเมืองนี้
ด้วยต้องการที่จะเล่นการพนันสะกา”
(พระราชาทั้งหลายตรัสว่า)
[๑๓๙๐] “พระราชาทรงชำนาญการเล่นสะกา
เมื่อทรงชนะจะพึงนำเอาแก้วเหล่าใดไป
แก้วเหล่านั้นของมาณพมีอยู่หรือ
แก้วของพระราชามีอยู่เป็นจำนวนมาก
ท่านเป็นคนเข็ญใจจะมาพนันกับพระราชาเหล่านั้น
ผู้มีทรัพย์มากมายได้อย่างไร”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๓๙๑] “แก้วมณีของข้าพระองค์นี้
ชื่อว่าสามารถนำทรัพย์มาให้ได้ดังใจปรารถนา
นักเลงสะกาชนะข้าพระองค์แล้วพึงนำแก้วมณีดวงประเสริฐ
สามารถนำทรัพย์มาให้ได้ดังใจปรารถนา
และม้าอาชาไนยเป็นที่เกรงขามของศัตรู
ของข้าพระองค์ทั้ง ๒ นี้ไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๓๙๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
(พระราชาทั้งหลายตรัสว่า)
[๑๓๙๒] “มาณพ แก้วมณีดวงเดียวจักทำอะไรได้
ส่วนม้าอาชาไนยตัวเดียวจักทำอะไรได้
แก้วมณีของพระราชามีอยู่เป็นจำนวนมาก
ม้าอาชาไนยที่มีกำลังรวดเร็วดังลม
ของพระราชามีมิใช่น้อยเลย”
โทหฬกัณฑ์จบ
มณิกัณฑ์
ตอนว่าด้วยอานุภาพแก้วมณี
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๓๙๓] “ข้าแต่พระองค์ผู้สูงสุดกว่าประชาชน
ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูแก้วมณีของข้าพระองค์ดวงนี้เถิด
มีรูปหญิงและรูปชายปรากฏเป็นหมู่ ๆ อยู่ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๓๙๔] มีรูปเนื้อและรูปนกปรากฏเป็นหมู่ ๆ อยู่ในแก้วมณีดวงนี้
มีพญานาคและพญาครุฑปรากฏอยู่ในแก้วมณีดวงนี้
ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูสิ่งที่น่าอัศจรรย์
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๓๙๕] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูจตุรงคินีเสนานี้
คือ กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ที่สวมเกราะอันธรรมดาได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๓๙๖] ขอทูลเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรดู
เหล่าพลทหารที่จัดไว้เป็นกรม ๆ คือ
กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
[๑๓๙๗] ขอทูลเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูพระนคร
ที่มีป้อมพร้อมมูล มีกำแพงและค่ายเป็นอันมาก
มีถนนสามแพร่ง สี่แพร่ง มีพื้นที่สวยงาม
อันธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๓๙๘] ขอทูลเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูเสาระเนียด
คูคลอง กลอนประตูเหล็ก ป้อมค่าย และซุ้มประตู
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๓๙๙] ขอทูลเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูฝูงนกนานาชนิด
เป็นจำนวนมากมายที่ปลายเสาค่าย
คือ ฝูงหงส์ นกกระเรียน นกยูง นกจักรพาก และนกเขา
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๔๐๐] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูพระนคร
อันเกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงนกชนิดต่าง ๆ
คือ ฝูงนกดุเหว่าดำ นกดุเหว่าที่มีปีกลายงดงาม ไก่ฟ้า
และนกโพระดก เป็นจำนวนมาก
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้เถิด
[๑๔๐๑] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดูพระนคร
ที่ล้อมด้วยกำแพงทองคำ
น่าอัศจรรย์ชวนให้ขนพองสยองเกล้า
ชักธงขึ้นเป็นประจำ น่ารื่นรมย์ ลาดด้วยทรายทอง
[๑๔๐๒] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรร้านตลาด
ที่เต็มไปด้วยสินค้านานาชนิด
เรือน สิ่งของในเรือน ถนน ซอย และถนนหลวง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
[๑๔๐๓] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรโรงขายสุรา
นักเลงสุรา พ่อครัว เรือนครัว พ่อค้า
หญิงแพศยา หญิงงามเมือง
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๔] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพวกช่างดอกไม้
ช่างย้อม ช่างปรุงของหอม ช่างทอผ้า
ช่างทอง และพวกช่างแก้วมณี
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๕] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพวกคนทำของหวาน
คนทำของคาว พวกนักดนตรี คือ
บางพวกฟ้อนรำขับร้อง บางพวกปรบมือ บางพวกตีฉิ่ง
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๖] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรกลอง ตะโพน สังข์
บัณเฑาะว์ มโหระทึก และเครื่องดนตรีทุกชนิด
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๗] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเปิงมาง (ฉิ่ง) กังสดาล พิณ
การฟ้อนรำขับร้อง เครื่องดนตรีดีดสีตีเป่าที่เขาประโคมกึกก้อง
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๘] อนึ่ง ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพวกนักกระโดด
นักมวย นักเล่นกล หญิงงาม ชายงาม คนเฝ้ายาม
และช่างตัดผม ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๐๙] ก็ในแก้วมณีดวงนี้ มีมหรสพที่คลาคล่ำไปด้วยชายหญิง
ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพื้นที่สำหรับเล่นมหรสพ
บนเตียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
[๑๔๑๐] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพวกนักมวย
ผู้กำลังชกต่อยกันอยู่ในสนามมวย
ที่วงรอบเป็นสองชั้น ทั้งผู้ชนะและผู้แพ้
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๑๑] ขอทูลเชิญทอดพระเนตรฝูงเนื้อนานาชนิด
เป็นจำนวนมากที่เชิงเขา เช่น
ราชสีห์ เสือโคร่ง ช้าง หมี หมาใน เสือดาว
[๑๔๑๒] แรด โคลาน กระบือ ละมั่ง กวาง
เนื้อทราย ระมาด วัว สุกรบ้าน
[๑๔๑๓] ชะมด แมวป่า กระต่าย และกระแต
ซึ่งมีอยู่มากมายหลายหลาก
ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรฝูงเนื้อนานาชนิด
ที่มีอยู่กลาดเกลื่อนซึ่งธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๑๔] ในแก้วมณีดวงนี้ มีแม่น้ำที่มีท่าน้ำสวยงาม
ลาดด้วยทรายทอง มีน้ำใสสะอาดไหลไปไม่ขาดสาย
เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลา
[๑๔๑๕] อนึ่ง ในแม่น้ำนี้ มีฝูงจระเข้
มังกร ตะโขง เต่า ปลาสลาด
ปลากระบอก ปลากด ปลาเค้า
และปลาตะเพียนแหวกว่ายไปมา
[๑๔๑๖] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสระโบกขรณี
ที่ก่อสร้างด้วยแก้วไพฑูรย์
ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงปลานานาชนิด
ดารดาษไปด้วยหมู่ไม้ชนิดต่าง ๆ
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
[๑๔๑๗] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสระโบกขรณีในแก้วมณีดวงนี้
ที่ธรรมชาติเนรมิตไว้เป็นอย่างดีทั้ง ๔ ทิศ
เกลื่อนกล่นไปด้วยฝูงปลานานาชนิด
เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงปลาใหญ่
[๑๔๑๘] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรแผ่นดินที่มีน้ำล้อมรอบ
เป็นแก่งแห่งสาครประกอบราวไพร
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๑๙] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรบุพพวิเทหทวีปทางข้างหน้า
อปรโคยานทวีปทางข้างหลัง
อุตตรกุรุทวีปและชมพูทวีปทางด้านขวา
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๐] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
ที่กำลังหมุนรอบภูเขาสิเนรุ
ส่องแสงสว่างไสวไปทั่วทิศทั้ง ๔ และสิ่งมหัศจรรย์
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๑] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรภูเขาสิเนรุ ภูเขาหิมพานต์
สมุทรสาคร พื้นแผ่นดินใหญ่ และท้าวมหาราชทั้ง ๔
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๒] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรพุ่มไม้ในสวน หินดาด
และเนินหินที่น่ารื่นรมย์ เกลื่อนกล่นไปด้วยกินนร
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๓] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสวนสวรรค์
คือ ปารุสกวัน จิตรลดาวัน มิสกวัน
นันทวัน และเวชยันตปราสาท
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) มณิกัณฑ์
[๑๔๒๔] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสภาชื่อสุธรรมา
ต้นปาริฉัตรที่มีดอกบานสะพรั่ง และพญาช้างเอราวัณ
ซึ่งมีอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๕] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า
ขอทูลเชิญทอดพระเนตรเหล่านางเทพกัญญา
ผู้เลอโฉมยิ่งนัก ดังสายฟ้าแลบออกจากกลีบเมฆ
ผู้กำลังเที่ยวไปอยู่ในนันทวันนั้น
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๖] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า
ขอทูลเชิญทอดพระเนตรเหล่านางเทพกัญญา
ผู้ประเล้าประโลมเทพบุตร
ซึ่งกำลังอภิรมย์เหล่าเทพบุตรอยู่ในนันทวันนั้น
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๗] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรปราสาท
เกินกว่า ๑,๐๐๐ หลัง
ซึ่งมีพื้นลาดด้วยแผ่นแก้วไพฑูรย์ มีรัศมีเรืองรอง
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๘] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี
และชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
ที่ธรรมชาติได้เนรมิตไว้ในแก้วมณีดวงนี้
[๑๔๒๙] ขอทูลเชิญพระองค์ทอดพระเนตรสระโบกขรณี
ที่มีน้ำใสสะอาด ซึ่งดารดาษไปด้วยดอกมณฑาลก
ดอกปทุม และดอกอุบลในสวรรค์นี้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อักขกัณฑ์
[๑๔๓๐] ในแก้วมณีดวงนั้น มีลายขาว ๑๐ ลาย
สวยงามน่ารื่นรมย์ใจ ลายสีเหลืองอ่อน ๒๑ ลาย
และลายเหลืองขมิ้น ๑๔ ลาย ปรากฏอยู่
[๑๔๓๑] ในแก้วมณีดวงนั้น มีลายสีทอง ๒๐ ลาย
ลายสีเงิน ๒๐ ลาย ปรากฏอยู่
ลายสีแมลงค่อมทอง ๓๐ ลาย ปรากฏอยู่
[๑๔๓๒] ในแก้วมณีดวงนี้ มีลายสีดำ ๑๖ ลาย
ลายสีดอกชะบา ๒๕ ลาย แซมด้วยลายดอกหงอนไก่
อันงามตระการตาด้วยดอกอุบลเขียวปรากฏอยู่
[๑๔๓๓] ข้าแต่มหาราชผู้สูงส่งกว่าชาวประชา
ขอทูลเชิญพระองค์ทรงทอดพระเนตรแก้วมณีดวงนี้
ซึ่งมีรัศมีเรืองรองผ่องใส สมบูรณ์ทุก ๆ ส่วนอย่างนี้
อันเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะพนัน”
มณีกัณฑ์ จบ
อักขกัณฑ์
ตอนว่าด้วยการเล่นสะกา
(ต่อจากนั้น ปุณณกยักษ์ได้กราบทูลต่อไปว่า)
[๑๔๓๔] “ข้าแต่พระราชา การงานในโรงเล่นการพนัน (สะกา)
สำเร็จลงแล้ว ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไป
สถานที่จะทรงเล่นการพนันเถิด
แก้วมณีเช่นนี้สำหรับพระองค์ไม่มี
เราทั้ง ๒ เมื่อเล่นก็จะพึงชนะกันโดยธรรม
ขอจงอย่าชนะกันโดยไม่ชอบธรรม
ถ้าพระองค์แพ้แล้ว ขออย่าได้ทรงทำให้เนิ่นช้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อักขกัณฑ์
[๑๔๓๕] ข้าแต่พระเจ้าสุรเสนปัญจาละผู้มีพระกิตติศัพท์โด่งดัง
ข้าแต่พระเจ้ามัจฉะ พระเจ้ามัททะ
พร้อมด้วยชาวเกกกชนบททั้งหลาย
ขอพระราชาเหล่านี้จงทรงทอดพระเนตรการต่อสู้
ของข้าพระองค์ทั้งหลายโดยการไม่ฉ้อโกง
มิใช่ไม่ทรงทำใครให้เป็นพยานในที่ประชุมเลย”
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงตรัสว่า)
[๑๔๓๖] “พระราชาของชาวแคว้นกุรุและปุณณกยักษ์ทั้ง ๒ นั้น
ต่างก็มัวเมาในการเล่นการพนันพากันเข้าไปสู่โรงเล่นการพนัน
พระราชาทรงเลือกอยู่จึงได้รับความปราชัย
ส่วนปุณณกยักษ์ได้ชัยชนะ
[๑๔๓๗] พระราชาและปุณณกยักษ์ทั้ง ๒ นั้น
เมื่อลูกสะกามีพร้อมแล้วก็ได้เล่นการพนันในโรงเล่นการพนันนั้น
ปุณณกยักษ์ได้ชัยชนะพระราชาผู้แกล้วกล้าและประเสริฐกว่าชน
ในท่ามกลางพระราชาและพยานทั้งหลาย
เสียงบันลือลั่นได้มีขึ้นในสนามการพนันนั้น”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๓๘] “ข้าแต่มหาราช บรรดาเราทั้ง ๒ ที่ยังพยายามเล่นอยู่
ความชนะและความแพ้ย่อมตกแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมชน
พระองค์ทรงเสื่อมจากทรัพย์อันประเสริฐแล้ว ทรงแพ้แล้ว
ขอพระองค์จงทรงพระราชทานทรัพย์แก่ข้าพระองค์โดยเร็วเถิด”
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๔๓๙] ท่านกัจจานะ ช้าง ม้า โค ตุ้มหูแก้วมณี
และรัตนะที่ประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลายมีอยู่ในแผ่นดินของเรา
ท่านจงรับไปเถิด เชิญขนไปตามปรารถนาเถิด”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อักขกัณฑ์
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๔๐] “ช้าง ม้า โค ตุ้มหูแก้วมณี
รัตนะแม้อื่นใดที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระองค์
บัณฑิตชื่อว่าวิธุระเป็นผู้ประเสริฐกว่ารัตนะทั้งปวงเหล่านั้น
ข้าพระองค์ได้ชนะพระองค์แล้ว
โปรดพระราชทานวิธุรบัณฑิตนั้นให้แก่ข้าพระองค์เถิด”
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๔๔๑] “วิธุรบัณฑิตนั้นเป็นเหมือนตัวของเรา เป็นสรณะ เป็นคติ
เป็นที่พึ่ง เป็นที่เร้น และเป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของเรา
ท่านไม่ควรเปรียบวิธุรบัณฑิตนั้นกับทรัพย์ของเรา
วิธุรบัณฑิตนี้เท่ากับชีวิตของเรา คือตัวเราเอง”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๔๒] “การโต้แย้งกันของข้าพระองค์กับพระองค์จะพึงเป็นไปนาน
พวกเราไปถามวิธุรบัณฑิตนั้นดูดีกว่า
วิธุรบัณฑิตนี้แหละจะไขข้อข้องใจนี้แก่เราทั้งหลายได้
วิธุรบัณฑิตจักกล่าวคำใด คำนั้นก็จักเป็นอย่างนั้นแก่เราทั้ง ๒”
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๔๔๓] “มาณพ ท่านพูดจริงทีเดียว และไม่ได้พูดคำรุนแรงแก่เรา
พวกเราไปถามวิธุรบัณฑิตกันดูเถิด
เราทั้ง ๒ คนจงยินดีคำที่วิธุรบัณฑิตพูดนั้น”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๔๔] “เทวดาทั้งหลายรู้จักอำมาตย์ในแคว้นกุรุชื่อว่าวิธุระ
ผู้ตั้งอยู่ในธรรมจริงหรือ การบัญญัติชื่อว่าวิธุระในโลกนั้น
ท่านเป็นอะไร คือ เป็นทาสหรือเป็นพระญาติของพระราชา”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อักขกัณฑ์
(วิธุรบัณฑิตกราบทูลว่า)
[๑๔๔๕] “ทาสมี ๔ จำพวก คือ
(๑) ทาสในเรือนเบี้ย (๒) ทาสที่ซื้อมาด้วยทรัพย์
(๓) ทาสที่ยอมตนเข้าเป็นข้าเฝ้า (๔) ทาสเชลย๑
[๑๔๔๖] ในหมู่คนมีทาส ๔ จำพวกเหล่านี้
แม้ข้าพระองค์ก็เป็นทาสโดยกำเนิดแท้ทีเดียว
ความเจริญหรือความเสื่อมจะมีแก่พระราชาก็ตาม
ข้าพระองค์ไปสู่ที่อื่นก็ยังคงเป็นทาสของสมมติเทพอยู่นั่นเอง
มาณพ พระราชาก็จะพึงพระราชทานตัวข้าพเจ้าแก่ท่านโดยธรรม”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๔๗] “ชัยชนะนี้เป็นชัยชนะครั้งที่ ๒ ของข้าพระองค์ในวันนี้
เพราะว่าวิธุรบัณฑิตผู้เป็นปราชญ์ถูกข้าพระองค์ถามแล้ว
ได้ชี้แจงปัญหาอย่างแจ่มแจ้ง
พระราชาผู้ประเสริฐไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมหนอ
วิธุรบัณฑิตได้กล่าวไว้ถูกต้องดีแล้ว
พระราชาไม่ทรงอนุญาตให้วิธุรบัณฑิตนี้แก่ข้าพระองค์”
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๔๔๘] “กัจจานะ หากวิธุรบัณฑิตได้ชี้แจงปัญหาแก่พวกเราอย่างนี้ว่า
เราเป็นทาส เรามิได้เป็นญาติเลย ท่านจงรับเอาวิธุรบัณฑิต
ผู้เป็นทรัพย์อันประเสริฐกว่าทรัพย์ทั้งหลาย
พาไปตามที่ท่านปรารถนาเถิด”
อักขกัณฑ์ จบ

เชิงอรรถ :
๑ ทาสในเรือนเบี้ย หมายถึงทาสผู้เกิดในครรภ์ของนางทาสหรือนางทาสี ทาสที่ยอมตนเป็นข้าเฝ้า
หมายถึงพวกคนที่เกิดในตระกูลผู้รับใช้ ยอมตนเข้าไปเป็นทาสเขา ทาสเชลย หมายถึงพวกคนที่พลัดที่
อยู่ของตน เพราะราชภัย โจรภัย หรือตกเป็นเชลย ยอมไปอยู่ในแผ่นดินอื่น (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๔๔๕/๒๒๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๐๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ฆราวาสปัญหา
ฆราวาสปัญหา
ปัญหาในการอยู่ครองเรือน
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๔๔๙] “ท่านวิธุระ คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนของตน
จะพึงมีความประพฤติที่ปลอดภัยได้อย่างไร
จะพึงมีการสงเคราะห์ได้อย่างไร
[๑๔๕๐] จะพึงมีความไม่เบียดเบียนกันได้อย่างไร
และอย่างไรคนจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีปกติกล่าวคำสัตย์
คนจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าจะไม่เศร้าโศกได้อย่างไร
[๑๔๕๑] วิธุรบัณฑิตผู้มีคติ มีความเพียร
มีปัญญาเห็นอรรถธรรม
กำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ได้กราบทูลคำนี้
กับพระราชาพระองค์นั้นในธรรมสภานั้นว่า
[๑๔๕๒] “ผู้อยู่ครองเรือนไม่ควรคบหญิงสาธารณ์๑เป็นภรรยา
ไม่ควรบริโภคอาหารอันมีรสอร่อยแต่ผู้เดียว
ไม่ควรส้องเสพกล่าวถ้อยคำอันให้ติดอยู่ในโลก
เพราะว่าคำอันให้ติดอยู่ในโลกนี้ไม่เป็นทางเจริญแห่งปัญญา
[๑๔๕๓] ผู้อยู่ครองเรือนควรเป็นคนมีศีล สมบูรณ์ด้วยวัตร
เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเห็นประจักษ์
มีความประพฤติถ่อมตน ไม่กระด้าง
สงบเสงี่ยม พูดคำไพเราะจับใจ สุภาพอ่อนโยน
[๑๔๕๔] ผู้อยู่ครองเรือนพึงเป็นผู้สงเคราะห์มิตร
จำแนกแจกทาน รู้จักจัดทำกิจการงาน
บำรุงสมณะและพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำทุกเมื่อ

เชิงอรรถ :
๑ หญิงสาธารณ์ หมายถึงภรรยาของคนอื่น ผู้ครองเรือนไม่พึงประทุษร้าย (เป็นชู้) ในภรรยาของคนอื่น
(ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๔๕๒/๒๒๖)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ลักขณกัณฑ์
[๑๔๕๕] ผู้อยู่ครองเรือนพึงเป็นผู้ใคร่ธรรม ทรงสุตะ
หมั่นสอบถาม เข้าไปหาท่านผู้มีศีล เป็นพหูสูต โดยความเคารพ
[๑๔๕๖] คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือนของตน
ควรมีความประพฤติปลอดภัยอย่างนี้
ควรสงเคราะห์ได้อย่างนี้
[๑๔๕๗] ไม่ควรเบียดเบียนกันและกันอย่างนี้
และคนควรปฏิบัติอย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นผู้มีปกติกล่าวคำสัตย์
จากโลกนี้แล้วไปสู่โลกหน้าจะไม่เศร้าโศกได้ด้วยประการฉะนี้”
ฆราวาสปัญหา จบ
ลักขณกัณฑ์
ตอนว่าด้วยลักษณะของบัณฑิต
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๔๕๘] “มาเถิดท่าน ประเดี๋ยวเราจักไปกัน
พระราชาผู้เป็นใหญ่
ได้ทรงพระราชทานท่านให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว
ขอท่านจงปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าเท่านั้น
นี้เป็นธรรมเก่า
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๔๕๙] “มาณพ ข้าพเจ้ารู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ท่านได้แล้ว
ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงพระราชทานให้ท่านแล้ว
แต่พวกเราขอให้ท่านพักอยู่ในเรือนของตนสัก ๓ วัน
และขอให้ท่านยับยั้งรออยู่ตลอดเวลา
ที่ข้าพเจ้าจะได้สั่งสอนบุตรทั้งหลายก่อน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ลักขณกัณฑ์
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๔๖๐] “คำที่ท่านกล่าวมาทั้งหมดนั้น
จงเป็นไปตามที่ท่านกล่าวอย่างนั้น
ข้าพเจ้าจะพักอยู่ ๓ วัน ตั้งแต่วันนี้ไป
ขอท่านจงทำหน้าที่ในเรือนเถิด
จงสั่งสอนบุตรและภรรยาเสียแต่ในวันนี้
โดยวิธีที่บุตรและภรรยาของท่านจะพึงมีความสุขใจ
เมื่อท่านจากไปแล้ว
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๔๖๑] ปุณณกยักษ์ผู้มีโภคทรัพย์จำนวนมากกล่าวว่า ตกลง
แล้วได้หลีกไปพร้อมกับวิธุรบัณฑิต
เป็นอารยชนผู้มีมรรยาทประเสริฐสุด
ได้เข้าไปสู่ภายในเมืองของวิธุรบัณฑิต
ที่เต็มไปด้วยช้างและม้าอาชาไนย
[๑๔๖๒] ปราสาทของพระโพธิสัตว์มีอยู่ ๓ หลัง คือ
(๑) โกญจนปราสาท (๒) มยูรปราสาท (๓) ปิยเกตปราสาท
ในปราสาท ๓ หลังนั้น พระโพธิสัตว์ได้พาปุณณกยักษ์
เข้าไปยังปราสาทซึ่งเป็นที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง
มีภักษาเพียงพอ มีข้าวน้ำมากมาย
ดังวิมานของท้าววาสวะ ซึ่งชื่อว่ามสักกสาระ
[๑๔๖๓] ในปราสาทหลังนั้น มีนารีทั้งหลายประดับอย่างงดงาม
ฟ้อนรำขับร้องเพลงอย่างไพเราะจับใจ
เหมือนนางเทพอัปสรในเทวโลกกล่อมปุณณกยักษ์อยู่
[๑๔๖๔] พระโพธิสัตว์ผู้รักษาธรรมได้รับรองปุณณกยักษ์
ด้วยนางบำเรอที่น่ายินดี ทั้งข้าวและน้ำแล้ว
คิดถึงประโยชน์ส่วนตน ได้เข้าไปในสำนักของภรรยาในกาลนั้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ลักขณกัณฑ์
[๑๔๖๕] ได้กล่าวกับภรรยาผู้ลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์และน้ำหอม
ผู้มีผิวพรรณผุดผ่องดังแท่งทองชมพูนุทว่า
นางผู้เจริญ ผู้มีดวงตาสีน้ำตาล มานี่เถิด
จงเรียกบุตรทั้งหลายมาฟังคำสั่งสอน
[๑๔๖๖] นางอโนชาได้ฟังคำของสามีแล้ว
ได้กล่าวกับลูกสะใภ้ผู้มีเล็บแดง มีนัยน์ตางามว่า
“เจ้าผู้มีผิวพรรณดังดอกบัวเขียว
เจ้าจงเรียกบุตรทั้งหลายเหล่านั้นมาเถิด”
[๑๔๖๗] พระโพธิสัตว์ผู้รักษาธรรมได้จุมพิตบุตรเหล่านั้น
ผู้มาแล้วที่กระหม่อม เป็นผู้ไม่หวั่นไหว
ครั้นเรียกมาแล้วได้สั่งสอนว่า
พระราชาในกรุงอินทปัตถ์นี้ได้พระราชทานพ่อให้แก่มาณพ
[๑๔๖๘] ตั้งแต่วันนี้ไป พ่อจะมีความสุขของตนเองได้เพียง ๓ วัน
ต่อจากนั้นไป พ่อก็จะต้องเป็นอยู่ในอำนาจของมาณพนั้น
เขาจะพาพ่อไปตามที่เขาปรารถนา
พ่อกลับมาเพื่อจะสั่งสอนลูก ๆ ว่า
พ่อยังมิได้ทำเครื่องป้องกันให้แก่ลูก ๆ แล้วจะพึงไปได้อย่างไร
[๑๔๖๙] ถ้าพระราชาแห่งชาวแคว้นกุรุผู้มีโภคทรัพย์ที่น่าใคร่เป็นจำนวนมาก
ทรงประสานชนผู้เป็นมิตร พึงตรัสถามลูกทั้งหลายว่า
เมื่อก่อน พวกเธอรู้เหตุการณ์เก่า ๆ อะไรบ้าง
พ่อของพวกเธอได้พร่ำสอนอะไรไว้ในก่อนบ้าง
[๑๔๗๐] ก็ถ้าพระราชาจะพึงตรัสว่า
พวกเธอเป็นผู้มีอาสนะเสมอกันกับเราในราชตระกูลนี้
คนอื่นใครเล่าจะเป็นคนมีชาติตระกูลสมควรกับพระราชาไม่มี
ลูกทั้งหลายพึงประนมมือกราบทูลพระราชานั้นอย่างนี้ว่า
ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์อย่าได้รับสั่งอย่างนี้เลย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
เพราะนั่นมิใช่ธรรมของพวกข้าพระองค์
ข้าแต่สมมติเทพ พวกข้าพระองค์
จะพึงมีอาสนะเสมอกับพระองค์ได้อย่างไร
เหมือนสุนัขจิ้งจอกตัวมีชาติต่ำต้อย
จะพึงมีอาสนะเสมอกับเสือได้อย่างไร พระเจ้าข้า
ลักขณกัณฑ์ จบ
ราชวสตีธรรม
ว่าด้วยธรรมสำหรับผู้อยู่ในราชสำนัก
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๔๗๑] “วิธุรบัณฑิตนั้นมีความดำริในใจที่ไม่หดหู่
ได้กล่าวกับบุตร ธิดา อำมาตย์ ญาติ
และเพื่อนสนิทดังนี้ว่า
[๑๔๗๒] “ลูกรักทั้งหลาย ลูกทั้งหลายจงพากันมา
นั่งฟังราชวสตีธรรม๑ ที่เป็นเหตุให้บุคคล
ผู้เข้าไปสู่ราชตระกูลแล้วได้ยศ
[๑๔๗๓] เพราะบุคคลผู้เข้าไปสู่ราชตระกูล
มีคุณความดียังไม่ปรากฏ ย่อมไม่ได้ยศ
ผู้เป็นราชเสวกไม่ควรกล้าเกินไป
ไม่ควรขลาดเกินไป ควรเป็นผู้ไม่ประมาทไม่ว่าในกาลไหน ๆ
[๑๔๗๔] เมื่อใด พระราชาทรงทราบปัญญา
และความบริสุทธิ์ของราชเสวกนั้น
เมื่อนั้น พระองค์ก็ทรงวางพระทัย
และไม่ทรงปกปิดความลับของพระองค์

เชิงอรรถ :
๑ ราชวสตีธรรม หมายถึงธรรมของผู้รับราชการ, ผู้ปฏิบัติราชการ (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๔๗๒/๒๓๓)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๔๗๕] ราชเสวกที่พระราชาตรัสรับสั่งใช้
ก็ไม่พึงหวั่นไหวด้วยอำนาจความพอใจเป็นต้น
พึงเป็นผู้สม่ำเสมอเหมือนตราชั่งที่บุคคลจับประคอง
ให้มีคันเที่ยงตรงสม่ำเสมอดีฉะนั้น
ราชเสวกผู้เห็นปานนี้นั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๗๖] ราชเสวกเมื่อกระทำราชกิจทุกอย่าง
เหมือนตราชั่งที่บุคคลจับประคอง
ให้มีคันเที่ยงตรงสม่ำเสมอดี
พึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๗๗] ราชเสวกนี้ผู้ฉลาดในราชกิจทั้งหลาย
ที่พระราชาตรัสรับสั่งใช้ในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม
ไม่พึงหวาดหวั่น ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๗๘] ราชเสวกต้องเป็นผู้ฉลาดในราชกิจทั้งหลาย
ทำราชกิจทุกอย่างไม่ว่าเวลากลางวันหรือกลางคืน
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๗๙] ทางใดที่เขาทำประดับตกแต่งไว้เรียบร้อยดี
เพื่อเสด็จพระราชดำเนินของพระราชา พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว
ราชเสวกก็ไม่ควรเดินตามทางนั้น
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๘๐] ราชเสวกไม่พึงบริโภคกามทัดเทียมกับพระราชา
ไม่ว่าในกาลไหน ๆ พึงดำเนินการตามหลังในทุก ๆ อย่าง๑
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

เชิงอรรถ :
๑ พึงดำเนินการตามหลังในทุก ๆ อย่าง หมายถึงข้าราชสำนักพึงดำเนินการ (บริโภค) ในกามคุณทุก
อย่างมีรูปเป็นต้นตามหลังพระราชา (ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้า) อย่างเดียว โดยความ คือใช้แต่ของที่
ด้อยกว่าเท่านั้น (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๔๘๐/๒๓๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๔๘๑] ราชเสวกไม่พึงใช้สอยเสื้อผ้า ประดับประดาดอกไม้
เครื่องลูบไล้ทัดเทียมกับพระราชา
ไม่พึงประพฤติอากัปกิริยาหรือการพูดจาทัดเทียมกับพระราชา
แต่ควรทำอากัปกิริยาอีกอย่างหนึ่งต่างหาก
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๘๒] เมื่อพระราชาทรงพระสำราญอยู่กับอำมาตย์
พระสนมกำนัลในเฝ้าแหนอยู่ อำมาตย์ต้องเป็นคนฉลาด
ไม่พึงทำการทอดสนิทในพระชายาทั้งหลายของพระราชา
[๑๔๘๓] ราชเสวกไม่พึงเป็นคนฟุ้งซ่าน ตลบตะแลง
พึงมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตน
สำรวมอินทรีย์ ถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้มีจิตตั้งมั่น
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๘๔] ราชเสวกไม่พึงเล่นหัว เจรจาปราศรัย
ในที่ลับกับพระชายาทั้งหลายของพระราชานั้น
ไม่พึงเบียดบังทรัพย์จากพระคลังหลวง
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๘๕] ราชเสวกไม่พึงหลับนอนมากนัก
ไม่พึงดื่มสุราจนเมามาย
ไม่พึงฆ่าเนื้อในสถานที่พระราชทานอภัย
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๘๖] ราชเสวกไม่พึงนั่งร่วมพระภัทรบิฐ
พระบัลลังก์ เก้าอี้พระที่นั่ง
เรือพระที่นั่ง และรถพระที่นั่ง
ด้วยการทนงตัวว่าเป็นคนโปรดปราน
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๔๘๗] ราชเสวกต้องเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
ไม่ควรเฝ้าห่างนัก ใกล้นัก
ควรยืนเฝ้าในที่เฉพาะพระพักตร์
พอให้ทอดพระเนตรเห็นได้ถนัด
[๑๔๘๘] ราชเสวกไม่ควรทำความวางใจว่า
พระราชาเป็นเพื่อนของเรา
พระราชาเป็นคู่หูกับเรา
พระราชาทั้งหลายทรงพิโรธได้เร็วไว
เหมือนนัยน์ตาถูกผงกระทบ
[๑๔๘๙] ราชเสวกไม่ควรถือตัวว่าเป็นนักปราชญ์เป็นบัณฑิต
พระราชาทรงบูชา ไม่ควรเพ็ดทูลถ้อยคำที่ให้ทรงพิโรธ
กับพระราชาผู้ประทับอยู่ในราชบริษัท
[๑๔๙๐] ราชเสวกผู้ได้รับพระราชทานพระทวารเป็นพิเศษ
ไม่ควรวางใจในพระราชาทั้งหลาย
ควรเป็นผู้สำรวม เหมือนอยู่ใกล้ไฟ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๙๑] พระราชาจะทรงยกย่องพระโอรส
หรือเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ด้วยบ้าน นิคม
แคว้น หรือชนบท ราชเสวกควรจะนิ่งดูก่อน
ไม่ควรเพ็ดทูลคุณหรือโทษในเวลานั้น
[๑๔๙๒] พระราชาจะทรงปูนบำเหน็จรางวัลให้แก่กองพลช้าง กองพลม้า
กองพลรถ และกองพลราบ ตามความชอบในราชการของเขา
ราชเสวกไม่ควรทัดทานคนเหล่านั้น
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๔๙๓] ราชเสวกผู้เป็นปราชญ์พึงโอนอ่อนเหมือนคันธนู
และพึงโอนเอนไปตามเหมือนไม้ไผ่ ไม่ควรทูลทัดทาน
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๙๔] ราชเสวกพึงเป็นผู้มีท้องน้อยเหมือนคันธนู
เป็นผู้ไม่มีลิ้นเหมือนปลา๑ รู้จักประมาณในการบริโภค
มีปัญญารักษาตน แกล้วกล้า
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๙๕] ราชเสวกไม่พึงสัมผัสหญิงซึ่งเป็นเหตุให้ถึงความสิ้นเดช
คนที่สิ้นปัญญาย่อมเข้าถึงโรคไอ โรคมองคร่อ
ความกระวนกระวาย ความอ่อนกำลัง
[๑๔๙๖] ราชเสวกไม่ควรพูดมากเกินไป ไม่ควรนิ่งไปทุกเมื่อ
เมื่อถึงเวลา ควรพูดพอประมาณ ไม่พร่ำเพรื่อ
[๑๔๙๗] ราชเสวกเป็นคนไม่มักโกรธ ไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น
เป็นคนพูดจริง อ่อนหวาน ไม่ส่อเสียด ไม่พูดถ้อยคำเพ้อเจ้อ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๙๘] ราชเสวกพึงเลี้ยงดูมารดาและบิดา
ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
มีวาจาอ่อนหวาน กล่าววาจาละมุนละไม
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๔๙๙] ราชเสวกเป็นผู้ได้รับแนะนำดี มีศิลปะ ฝึกฝนแล้ว
เป็นผู้ทำประโยชน์ แน่นอน อ่อนโยน
ไม่ประมาท สะอาดและขยัน
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

เชิงอรรถ :
๑ ไม่มีลิ้นเหมือนปลา หมายถึงข้าราชการควรมีกิริยาเหมือนไม่มีลิ้น โดยพูดให้น้อย (ทำงานให้มาก)
เหมือนปลาพูดไม่ได้ เพราะไม่มีลิ้น (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๔๙๔/๒๓๘)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๕๐๐] ราชเสวกเป็นผู้มีความประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
มีความเคารพยำเกรงในท่านผู้เจริญเป็นผู้สงบเสงี่ยม
อยู่ร่วมกันเป็นสุข ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๐๑] ราชเสวกพึงเว้นไกลซึ่งทูตผู้ที่พระราชาฝ่ายปรปักษ์
ส่งมาเพื่อความลับ พึงดูแลแต่เฉพาะพระราชวงศ์เท่านั้น
ไม่พึงอยู่ในสำนักของพระราชาฝ่ายอื่น
[๑๕๐๒] ราชเสวกพึงคบหาสมาคมกับสมณะและพราหมณ์
ผู้มีศีล เป็นพหูสูตโดยความเคารพ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๐๓] ราชเสวกเมื่อคบหาสมาคมกับสมณะและพราหมณ์
ผู้มีศีล เป็นพหูสูต
พึงสมาทานรักษาอุโบสถศีลโดยความเคารพ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๐๔] ราชเสวกพึงบำรุงเลี้ยงดูสมณะและพราหมณ์
ผู้มีศีล เป็นพหูสูต ด้วยข้าวและน้ำ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๐๕] ราชเสวกผู้หวังความเจริญแก่ตน
พึงคบหาสมาคมกับสมณะและพราหมณ์
ผู้มีศีล เป็นพหูสูต มีปัญญา
[๑๕๐๖] ราชเสวกไม่พึงทำทานที่เคยพระราชทานมา
ในสมณะและพราหมณ์ให้เสื่อมไป
อนึ่ง เห็นพวกวณิพกที่มาในเวลาพระราชทาน
ไม่ควรห้ามอะไรเลย
[๑๕๐๗] ราชเสวกพึงเป็นผู้มีปัญญา มีความรู้พร้อมมูล
ฉลาดในวิธีจัดการราชกิจ เป็นผู้รู้จักกาลสมัย
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๑๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) ราชวสตีธรรม
[๑๕๐๘] ราชเสวกเป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่ประมาท
มีปัญญาสอดส่องพิจารณาในการงานที่ตนจะพึงทำ
จัดการงานได้สำเร็จเรียบร้อยดี
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๐๙] อนึ่ง ราชเสวกพึงไปตรวจตราดูลานข้าวสาลี
ปศุสัตว์ และนาอยู่เสมอ ๆ
พึงตวงข้าวเปลือกให้รู้ประมาณแล้วให้เก็บไว้ในฉาง
พึงนับดูคนข้างเคียงในเรือนแล้ว
จึงให้หุงต้มข้าวแต่พอประมาณเท่านั้น
[๑๕๑๐] ไม่พึงตั้งบุตรหรือพี่น้อง
ผู้ไม่ตั้งมั่นในศีลให้เป็นใหญ่
เพราะคนเหล่านั้นเป็นพาล ไม่จัดว่าเป็นพี่น้อง
คนเหล่านั้นเป็นเหมือนคนตายแล้ว
แต่เมื่อคนเหล่านั้นมาหานั่งอยู่แล้ว
ก็ควรให้ผ้า เครื่องนุ่งห่ม และอาหาร
[๑๕๑๑] พึงตั้งทาส กรรมกร คนใช้ ผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีล
เป็นคนขยันหมั่นเพียรให้เป็นใหญ่
[๑๕๑๒] ราชเสวกพึงเป็นผู้มีศีล ไม่โลภ
และคล้อยไปตามพระราชา
ประพฤติประโยชน์แก่พระราชานั้นทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๑๓] ราชเสวกพึงเป็นผู้รู้จักพระอัธยาศัยของพระราชา
และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระราชา
ไม่ควรประพฤติขัดต่อพระประสงค์ของพระราชา
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อนันตรเปยยาล
[๑๕๑๔] ในเวลาผลัดเปลี่ยนพระภูษาทรงและในเวลาสรงสนาน
ราชเสวกควรก้มศีรษะลงชำระพระบาท
แม้จะถูกกริ้วก็ไม่ควรโกรธ
ราชเสวกนั้นพึงอยู่ในราชสำนักได้
[๑๕๑๕] บุรุษผู้หวังความเจริญแก่ตนพึงทำอัญชลีแม้หม้อน้ำ
และทำประทักษิณแม้นกแอ่นลมได้
ไฉนเล่า เขาจะไม่พึงนอบน้อมพระราชาผู้เป็นปราชญ์สูงสุด
ผู้พระราชทานสมบัติที่น่าใคร่ทุกอย่างให้
[๑๕๑๖] พระราชาผู้ซึ่งทรงพระราชทานที่นอน
ผ้านุ่งห่ม ยาน เรือนที่อยู่อาศัย
ทรงยังโภคะให้ตกไปทั่วถึง
เหมือนเมฆยังน้ำฝนให้ตกไปเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั่วไปฉะนั้น
[๑๕๑๗] แน่ะเจ้าทั้งหลาย นี้ชื่อว่าราชวสตีธรรม
เมื่อคนประพฤติตาม ย่อมทำให้พระราชาโปรดปราน
และย่อมได้การบูชาในเจ้านายทั้งหลาย
ราชวสตีธรรม จบ
อนันตรเปยยาล
ว่าด้วยเนื้อความที่ย่อไว้ในระหว่าง
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๕๑๘] วิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา
ครั้นพร่ำสอนหมู่ญาติอย่างนี้แล้ว
มีหมู่ญาติเพื่อนที่สนิทแวดล้อมเข้าไปเฝ้าพระราชา
[๑๕๑๙] ถวายบังคมพระบาทด้วยเศียรเกล้า
และทำประทักษิณพระองค์แล้ว ประนมมือกราบบังคมทูลดังนี้ว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อนันตรเปยยาล
[๑๕๒๐] “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงปราบอริราชศัตรู
มาณพนี้ปรารถนาจะทำตามประสงค์ จึงนำข้าพระองค์ไป
ข้าพระองค์จักกราบทูลประโยชน์ของญาติทั้งหลาย
ขอพระองค์โปรดสดับประโยชน์นั้น
[๑๕๒๑] ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณาเอาพระทัยใส่
ดูแลบุตรภรรยาของข้าพระองค์
และทรัพย์อย่างอื่น ๆ ที่มีอยู่ในเรือน
โดยประการที่หมู่ญาติของข้าพระองค์จะไม่เสื่อมในภายหลัง
ในเมื่อข้าพระองค์ถวายบังคมลาไปแล้ว
[๑๕๒๒] ความพลั้งพลาดของข้าพระองค์นี้
ก็เหมือนคนพลาดล้มลงบนแผ่นดิน
แล้วกลับยืนขึ้นได้บนแผ่นดินเหมือนกัน
ฉะนั้น ข้าพระองค์ย่อมเห็นโทษนั้น”
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๕๒๓] “ท่านไม่อาจจะไปได้ นั่นแหละเป็นความพอใจของเรา
เราจะสั่งให้ฆ่าเชือดเฉือน(มาณพนั้น)ออกเป็นท่อน ๆ
แล้วหมกไว้ให้มิดชิดในเมืองนี้ ท่านจงอยู่ที่นี้แหละ
การทำได้ดังนี้ เราชอบใจ
ท่านบัณฑิตผู้มีปัญญาอันสูงส่งกว้างขวางดุจแผ่นดิน
ท่านอย่าไปเลย”
(วิธุรบัณฑิตกราบทูลว่า)
[๑๕๒๔] “ขอพระองค์อย่าทรงตั้งพระทัยไว้ในอธรรมเลย
ขอจงทรงประกอบพระองค์ไว้ในอรรถและธรรมเถิด
กรรมอันเป็นอกุศลไม่ประเสริฐ บัณฑิตติเตียนว่า
ผู้ทำกรรมอันเป็นอกุศลพึงเข้าถึงนรกในภายหลัง

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อนันตรเปยยาล
[๑๕๒๕] นี่ไม่ใช่ธรรมเลย ไม่เข้าถึงกิจที่ควรทำ
ข้าแต่พระองค์ผู้จอมชน ธรรมดาว่านายผู้เป็นใหญ่ของทาส
จะทุบตีก็ได้ จะเผาก็ได้ จะฆ่าก็ได้
ข้าพระองค์ไม่มีความโกรธเลย และขอกราบบังคมทูลลาไป”
[๑๕๒๖] พระมหาสัตว์นั้นมีนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างนองด้วยน้ำตา
กำจัดความกระวนกระวายในหทัยแล้ว
สวมกอดบุตรคนโตแล้วเข้าไปสู่เรือนหลวง
[๑๕๒๗] บุตรทั้งหลายและภรรยาในบ้านของวิธุรบัณฑิต
ต่างก็นอนร้องไห้คร่ำครวญไปมาอยู่
เหมือนป่าไม้รังถูกพายุพัดล้มระเนระนาด
[๑๕๒๘] ภรรยา ๑,๐๐๐ คน และหญิงรับใช้ ๗๐๐ คน
ต่างประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญ
ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต
[๑๕๒๙] พระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์ทั้งหลาย
ต่างพากันประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต
[๑๕๓๐] กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญ
ในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต
[๑๕๓๑] ชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกันแล้ว
ต่างพากันประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญในนิเวศน์ของวิธุรบัณฑิต
[๑๕๓๒] ภรรยา ๑,๐๐๐ คน และหญิงรับใช้ ๗๐๐ คน
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“เพราะเหตุไร ท่านจึงละทิ้งเราทั้งหลายไป”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อนันตรเปยยาล
[๑๕๓๓] พระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์ทั้งหลาย
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“เพราะเหตุไร ท่านจึงละทิ้งเราทั้งหลายไป”
[๑๕๓๔] กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“เพราะเหตุไร ท่านจึงละทิ้งเราทั้งหลายไป”
[๑๕๓๕] ชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกันแล้ว
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“เพราะเหตุไร ท่านจึงละทิ้งเราทั้งหลายไป”
[๑๕๓๖] พระมหาสัตว์ทำกิจทั้งหลายในเรือน
สั่งสอนคนของตน คือ มิตร อำมาตย์ คนใช้
บุตร ธิดา ภรรยา และพวกพ้อง
[๑๕๓๗] จัดการงาน บอกมอบทรัพย์ในเรือน ขุมทรัพย์
และการใช้หนี้ แล้วจึงได้กล่าวกับปุณณกยักษ์ดังนี้ว่า
[๑๕๓๘] “ท่านกัจจานะ
ท่านได้พักอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า ๓ วันแล้ว
กิจทั้งหลายที่ควรทำในเรือนของข้าพเจ้าก็ได้ทำแล้ว
อนึ่ง บุตร ธิดา และภรรยา ข้าพเจ้าก็ได้สั่งสอนแล้ว
บัดนี้ ข้าพเจ้ายอมทำกิจตามอัธยาศัยของท่าน”
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๕๓๙] “ท่านมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชกิจทั้งปวง
ก็ถ้าท่านได้สั่งสอนบุตร ธิดา ภรรยา และคนอาศัยแล้ว
ขอเชิญท่านรีบไป ณ บัดนี้เถิด
เพราะทางข้างหน้ายังอยู่อีกไกลนัก
[๑๕๔๐] ท่านอย่าได้กลัวเลย จงจับหางม้าอาชาไนยเถิด
นี้เป็นการเห็นชีวโลกครั้งสุดท้ายของท่าน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) อนันตรเปยยาล
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๔๑] “ข้าพเจ้าจักสะดุ้งกลัวไปทำไม
เพราะข้าพเจ้าไม่มีกรรมชั่วทางกาย วาจา และใจ
ที่จะเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติ
[๑๕๔๒] พญาม้านั้นนำวิธุรบัณฑิตเหาะไป
ในอากาศกลางหาวไม่กระทบกิ่งไม้และภูเขาเลย
เหาะไปถึงภูเขากาฬาคีรีอย่างรวดเร็ว
[๑๕๔๓] ภรรยา ๑,๐๐๐ คน และหญิงรับใช้ ๗๐๐ คน
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
ฯลฯ ยักษ์ได้แปลงเป็นพราหมณ์นำวิธุรบัณฑิตไป
พระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์ทั้งหลาย
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
ฯลฯ ยักษ์ได้แปลงเป็นพราหมณ์นำวิธุรบัณฑิตไป
กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ต่างประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
ฯลฯ ยักษ์ได้แปลงเป็นพราหมณ์นำวิธุรบัณฑิตไป
[๑๕๔๔] ชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกันแล้ว
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
ฯลฯ ยักษ์ได้แปลงเป็นพราหมณ์นำวิธุรบัณฑิตไป
[๑๕๔๕] ภรรยา ๑,๐๐๐ คน และหญิงรับใช้ ๗๐๐ คน
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“บัณฑิตนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน”
พระสนมกำนัลใน พระกุมาร แพศย์ และพราหมณ์ทั้งหลาย
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“บัณฑิตนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๕ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) สาธุนรธรรมกัณฑ์
กองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ และกองพลราบ
ต่างพากันประคองแขนทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญว่า
“บัณฑิตนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน”
[๑๕๔๖] ชาวชนบทและชาวนิคมมาประชุมพร้อมกันแล้ว
ต่างพากันประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญว่า
“บัณฑิตนั้นไปแล้ว ณ ที่ไหน”
[๑๕๔๗] ถ้าบัณฑิตนั้นจักไม่มาภายใน ๗ วัน
ข้าพระพุทธเจ้าจักพากันเข้าไปสู่กองไฟทั้งหมด
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความต้องการด้วยชีวิต
(พระราชาตรัสว่า)
[๑๕๔๘] “วิธุรบัณฑิตเป็นคนฉลาดหลักแหลม
สามารถแสดงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ได้แจ้งชัด
มีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา คงจะปลดเปลื้องตนได้ฉับพลัน
ท่านทั้งหลายอย่ากลัวไปเลย
วิธุรบัณฑิตปลดเปลื้องตนได้แล้วจักรีบกลับมา”
อนันตรเปยยาล จบ
สาธุนรธรรมกัณฑ์
ตอนว่าด้วยธรรมของคนดี
(พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า)
[๑๕๔๙] ปุณณกยักษ์นั้นไปยืนคิดอยู่บนยอดภูเขากาฬาคีรีนั้นว่า
เจตนาย่อมเป็นของสูง ๆ ต่ำ ๆ
ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นอยู่ของวิธุรบัณฑิตนี้ไม่มีแก่เรา
เราจักฆ่าวิธุรบัณฑิตนี้แล้วจักนำแต่หัวใจของเขาไป

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๖ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) สาธุนรธรรมกัณฑ์
[๑๕๕๐] ปุณณกยักษ์มีจิตคิดประทุษร้ายลงจากยอดเขา
ไปสู่เชิงเขา พักพระมหาสัตว์ไว้ในระหว่างภูเขา
ชำแรกเข้าไปภายในภูเขานั้น จับพระมหาสัตว์
เอาศีรษะหย่อนลงแล้วขว้างลงไปที่พื้นดินที่ไม่มีอะไรกีดขวาง
[๑๕๕๑] วิธุรบัณฑิตเป็นอำมาตย์ผู้ประเสริฐสุดของชาวแคว้นกุรุ
เมื่อถูกห้อยศีรษะลงในเหวชันที่น่ากลัว
น่าสยดสยอง น่าหวาดเสียว ก็ไม่สะดุ้งกลัว
ได้กล่าวกับปุณณกยักษ์ดังนี้ว่า
[๑๕๕๒] “ท่านมีรูปร่างดังผู้ประเสริฐแต่หาเป็นคนประเสริฐไม่
คล้ายจะเป็นคนสำรวม แต่ไม่สำรวม
ทำกรรมหยาบช้า ไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
กุศลแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มีในใจของท่าน
[๑๕๕๓] ท่านปรารถนาจะโยนข้าพเจ้าลงไปในเหว
ท่านจะได้ประโยชน์อะไรด้วยความตายของข้าพเจ้า
วันนี้ ผิวพรรณของท่านเหมือนของอมนุษย์
ท่านจงบอกข้าพเจ้า ท่านเป็นเทวดาได้อย่างไร”
(ปุณณกยักษ์ตอบว่า)
[๑๕๕๔] “ถ้าท่านทราบมาแล้วว่าข้าพเจ้าชื่อปุณณกะ
และเป็นอำมาตย์คู่ชีพของท้าวกุเวรพญานาคใหญ่นามว่าวรุณ
ผู้ครอบครองนาคพิภพ มีรูปงามสะอาด
ถึงพร้อมด้วยผิวพรรณแห่งสรีระและกำลัง
[๑๕๕๕] ข้าพเจ้ารักใคร่อยากได้นางนาคกัญญา
ชื่ออิรันทดี ผู้เป็นธิดาของพญานาคนั้น
ท่านผู้เป็นปราชญ์ เพราะเหตุแห่งนางอิรันทดี
ผู้มีเอวงามน่ารักนั้น ข้าพเจ้าจึงตกลงใจจะฆ่าท่าน”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๗ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) สาธุนรธรรมกัณฑ์
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๕๖] “ยักษ์ ท่านอย่าได้ลุ่มหลงนักเลย
สัตวโลกเป็นจำนวนมากพินาศไปเพราะความถือผิด
เพราะเหตุไร ท่านจึงทำความรักใคร่
ในนางอิรันทดีผู้มีเอวงามน่ารัก
ท่านจะได้ประโยชน์อะไรด้วยความตายของข้าพเจ้า
เชิญเถิด ข้าพเจ้าขอฟังเรื่องทั้งหมด”
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๕๕๗] “ข้าพเจ้าปรารถนาธิดาของพญาวรุณนาคราช
ผู้มีอานุภาพมาก ข้าพเจ้าชื่อว่าเป็นผู้รับอาสา
นำญาติของนางอิรันทดีมา ญาติเหล่านั้นได้สำคัญข้าพเจ้าว่า
ถูกกามครอบงำด้วยดี
ฉะนั้น พญาวรุณนาคราช พ่อตาจึงได้ตรัสกับข้าพเจ้า
ผู้กำลังทูลขอนางอิรันทดีนาคกัญญานั้นว่า
[๑๕๕๘] เราทั้งหลายพึงให้ธิดาของเราผู้มีร่างกายงดงาม
มีเนตรงามอย่างน่าพิศวง มีตัวลูบไล้ด้วยจุรณแก่นจันทน์
ถ้าท่านจะพึงให้ดวงหทัยของบัณฑิต
นำมาในนาคพิภพนี้โดยธรรม
เพราะความดีความชอบนี้ ท่านก็จะได้ธิดาของเรา
เราทั้งหลายมิได้ปรารถนาทรัพย์อื่นยิ่งไปกว่านั้น
[๑๕๕๙] ท่านมหาอำมาตย์ ข้าพเจ้ามิได้เป็นคนหลง
ท่านจงฟังให้ทราบเรื่องอย่างนี้
อนึ่ง ข้าพเจ้ามิได้มีความถือผิดอะไร ๆ เลย
เพราะหทัยของท่านที่ข้าพเจ้าได้ไปโดยชอบธรรม
ท้าววรุณนาคราชและนางวิมลา
จะประทานนางอิรันทดีนาคกัญญาให้แก่ข้าพเจ้า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๘ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) สาธุนรธรรมกัณฑ์
[๑๕๖๐] เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงพยายามฆ่าท่าน
ข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์ด้วยการตายของท่านอย่างนี้
จึงผลักท่านให้ตกลงในเหวนี้
ฆ่าแล้วจะนำเอาดวงหทัยนั้นไป”
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๖๑] “จงวางข้าพเจ้าลงโดยเร็วเถิด
ถ้าท่านมีความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยหทัยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะทำธรรมเหล่านั้นทั้งหมดให้ปรากฏในวันนี้”
[๑๕๖๒] ปุณณกยักษ์นั้นรีบวางวิธุรบัณฑิต
ผู้ประเสริฐสุดของชาวแคว้นกุรุลงบนยอดเขา
เห็นวิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ต่ำทราม
ได้ความเบาใจนั่งอยู่ จึงถามว่า
[๑๕๖๓] ข้าพเจ้าได้ยกท่านขึ้นมาจากเหวแล้ว
วันนี้ ข้าพเจ้ายังมีความจำเป็นที่ต้องทำด้วยหทัยของท่านอยู่
ท่านจงทำธรรมเหล่านั้นทั้งหมดให้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าในวันนี้เถิด”
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๖๔] “ท่านได้ยกข้าพเจ้าขึ้นมาจากเหวแล้ว
ถ้าท่านยังมีความจำเป็นที่ต้องทำด้วยหทัยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะทำธรรมเหล่านั้นทั้งหมดให้ปรากฏในวันนี้
[๑๕๖๕] มาณพ ท่านจงเดินไปตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว
จงอย่าเผาฝ่ามืออันเปียกชุ่ม
อย่าได้ประทุษร้ายในมิตรทั้งหลายในกาลไหน ๆ
อย่าตกอยู่ในอำนาจของเหล่าอสตรี๑”

เชิงอรรถ :
๑ อสตรี หมายถึงหญิงผู้ประกอบด้วยอสัทธรรม (เมถุนธรรม) (ขุ.ชา.อ. ๑๐/๑๕๖๕/๒๖๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๒๙ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) สาธุนรธรรมกัณฑ์
(ปุณณกยักษ์ถามว่า)
[๑๕๖๖] “บุคคลชื่อว่าเป็นผู้เดินไปตามทางที่เดินไปแล้วอย่างไร
ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันเปียกชุ่มอย่างไร บุคคลเช่นไร
จึงชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร หญิงเช่นไรชื่อว่าอสตรี
ข้าพเจ้าถามแล้ว ขอท่านจงบอกเนื้อความนี้เถิด”
(วิธุรบัณฑิตตอบว่า)
[๑๕๖๗] “ผู้ใดพึงเชื้อเชิญคนที่ไม่เคยอยู่ร่วมกัน
ไม่เคยพบเห็นกันด้วยอาสนะ
บุรุษพึงทำประโยชน์แก่ผู้นั้นเท่านั้น
บัณฑิตกล่าวว่าบุรุษนั้นเดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้ว
[๑๕๖๘] บุคคลพึงอยู่ในเรือนของผู้ใดแม้คืนเดียว
พึงได้ทั้งข้าวและน้ำ ไม่ควรคิดร้ายแก่ผู้นั้นแม้ด้วยใจ
ผู้คิดร้ายบุคคลเช่นนั้น ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันเปียกชุ่ม
และชื่อว่าประทุษร้ายมิตร
[๑๕๖๙] บุคคลพึงนั่งหรือนอนที่ร่มของต้นไม้ใด
ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น
เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม
[๑๕๗๐] หากบุรุษพึงให้แผ่นดินนี้ที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์
แก่หญิงผู้ที่สามียกย่องเป็นอย่างดี
หญิงนั้นได้โอกาสแล้วพึงดูหมิ่นบุรุษนั้นก็ได้
บุคคลไม่พึงตกอยู่ในอำนาจของอสตรี
[๑๕๗๑] บุคคลชื่อว่าเป็นผู้เดินตามทางที่ท่านเดินไปแล้วอย่างนี้
ชื่อว่าเผาฝ่ามืออันเปียกชุ่มอย่างนี้
ชื่อว่าตกอยู่ในอำนาจของอสตรีอย่างนี้
และชื่อว่าเป็นผู้ประทุษร้ายมิตรอย่างนี้
ท่านจงเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม ละเลิกอธรรมเถิด”
สาธุนรธรรมกัณฑ์ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๐ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖) กาฬาคิริกัณฑ์
กาฬาคิริกัณฑ์
ตอนว่าด้วยภูเขาสีดำ
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๕๗๒] “ข้าพเจ้าได้พักอยู่ในเรือนของท่าน ๓ วัน
ทั้งเป็นผู้ที่ท่านบำรุงด้วยข้าวและน้ำ
ท่านเป็นมิตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปลดปล่อยท่าน
ท่านผู้มีปัญญาอันสูงส่ง
เชิญท่านกลับไปเรือนของท่านตามต้องการเถิด
[๑๕๗๓] ความต้องการของตระกูลนาคจะเสื่อมไปก็ตามเถิด
เหตุที่จะได้นางนาคกัญญา ข้าพเจ้ายกเลิกแล้ว
ท่านผู้มีปัญญา เพราะคำสุภาษิตของตนเองแท้ ๆ
ท่านจึงพ้นจากข้าพเจ้าผู้จะฆ่าท่านในวันนี้”
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๗๔] “ปุณณกยักษ์ เชิญท่านนำข้าพเจ้าไป
ในสำนักของพ่อตาของท่านเถิด
จงประพฤติประโยชน์ในข้าพเจ้า
แม้ข้าพเจ้าก็อยากเห็นท้าววรุณอธิบดีของนาค
และวิมานของท้าวเธอที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น”
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๕๗๕] “คนผู้มีปัญญาไม่ควรจะดู
สิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คน
ท่านผู้มีปัญญาอันสูงส่ง
เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรหนอ
ท่านจึงปรารถนาจะไปยังบ้านของศัตรูเล่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๑ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖)
(วิธุรบัณฑิตกล่าวว่า)
[๑๕๗๖] “แม้ข้าพเจ้าก็รู้ชัดถึงสิ่งที่ผู้มีปัญญาไม่ควรจะดู
แต่ข้าพเจ้าไม่มีกรรมชั่วที่ได้ทำไว้แล้วในที่ไหนเลย
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่รังเกียจความตายที่จะมาถึงตน”
(ปุณณกยักษ์กล่าวว่า)
[๑๕๗๗] ท่านบัณฑิต เชิญเถิด ท่านจงมากับข้าพเจ้าไปดูพิภพ
ของพญานาค ซึ่งมีอานุภาพมาก หาที่เปรียบมิได้
เป็นที่อยู่อันมีการฟ้อนรำขับร้องตามปรารถนา
[๑๕๗๘] เหมือนนิกีฬิตราชธานีเป็นที่ประทับอยู่ของท้าวเวสสุวรรณฉะนั้น
นาคพิภพนั้นเป็นที่เที่ยวเล่นเป็นหมู่ ๆ
ของนางนาคกัญญาตลอดวันและคืนเป็นนิตย์
มีดอกไม้ดารดาษอยู่มากมายหลายชนิด
สว่างไสวดังสายฟ้าในอากาศ
[๑๕๗๙] ประกอบด้วยข้าวและน้ำ
เพียบพร้อมด้วยการฟ้อนรำขับร้องและการประโคม
เต็มไปด้วยนางนาคกัญญาที่ประดับอย่างสวยงาม
งดงามไปด้วยผ้านุ่งห่มและเครื่องประดับ
[๑๕๘๐] ปุณณกยักษ์นั้นเชิญให้วิธุรบัณฑิต
ผู้ประเสริฐสุดของชาวแคว้นกุรุไปนั่งบนอาสนะข้างหลัง
ได้พาวิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ต่ำทรามเข้าสู่ภพของพญานาค
[๑๕๘๑] วิธุรบัณฑิตถึงที่อยู่ของพญานาคซึ่งมีอานุภาพมาก
หาที่เปรียบมิได้แล้ว ได้อยู่ข้างหลังของปุณณกยักษ์
พญานาคได้ทอดพระเนตรเห็นลูกเขยของตนก่อความสามัคคี
ตนเองก็รีบตรัสทักทายปราศรัยก่อนเลยทีเดียวว่า

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๒ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖)
[๑๕๘๒] ท่านได้ไปยังโลกมนุษย์
เที่ยวแสวงหาดวงหทัยของวิธุรบัณฑิต
กลับมาถึงนาคพิภพนี้ด้วยความสำเร็จหรือ
หรือว่าท่านได้พาเอาวิธุรบัณฑิตผู้มีปัญญาไม่ต่ำทรามมาด้วย”
(ปุณณกยักษ์กราบทูลว่า)
[๑๕๘๓] “ท่านผู้นี้แหละคือวิธุรบัณฑิต
ที่พระองค์ทรงปรารถนามาแล้ว
ท่านวิธุรบัณฑิตผู้รักษาธรรม
ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้วโดยธรรม
เชิญพระองค์ทอดพระเนตรวิธุรบัณฑิต
ผู้จะแสดงธรรมถวายด้วยเสียงอันไพเราะเฉพาะพระพักตร์
การสมาคมกับสัตบุรุษทั้งหลายเป็นเหตุนำสุขมาให้โดยแท้”
กาฬาคิริกัณฑ์ จบ
(พญานาคตรัสถามว่า)
[๑๕๘๔] “ท่านเป็นมนุษย์มาเห็นนาคพิภพที่ตนไม่เคยเห็น
ถูกภัยคือความตายคุกคามแล้ว ไม่กลัวและไม่อภิวาท
อาการเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่มีแก่ผู้มีปัญญา”
(วิธุรบัณฑิตกราบทูลว่า)
[๑๕๘๕] “ข้าแต่พญานาค ข้าพระองค์ไม่กลัว
และไม่ถูกภัยคือความตายคุกคาม
นักโทษประหารไม่พึงกราบไหว้เพชฌฆาต
หรือเพชฌฆาตก็ไม่พึงให้นักโทษประหารไหว้ตน
[๑๕๘๖] คนจะกราบไหว้ผู้ปรารถนาจะฆ่าตน
หรือผู้ปรารถนาจะฆ่าเขาจะพึงให้ผู้ที่ตนจะฆ่า
กราบไหว้ตนได้อย่างไร กรรมนั้นย่อมไม่สำเร็จ”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๓ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖)
(พญานาคตรัสว่า)
[๑๕๘๗] “บัณฑิต คำนั้นถูกอย่างที่ท่านพูด ท่านพูดจริง
นักโทษประหารไม่ควรกราบไหว้เพชฌฆาต
หรือเพชฌฆาตก็ไม่ควรให้นักโทษประหารกราบไหว้ตน
[๑๕๘๘] คนจะกราบไหว้ผู้ปรารถนาจะฆ่าตน
หรือผู้ปรารถนาจะฆ่าเขาจะพึงให้ผู้ที่ตนจะฆ่า
กราบไหว้ตนได้อย่างไร กรรมนั้นย่อมไม่สำเร็จ”
(วิธุรบัณฑิตกราบทูลว่า)
[๑๕๘๙] “ข้าแต่นาคราช วิมานของพระองค์นี้
เป็นของไม่เที่ยง แต่เป็นเหมือนเที่ยง
ฤทธิ์ ความรุ่งเรือง กำลัง ความเพียร
และการอุบัติในนาคพิภพได้มีแล้วแก่พระองค์
ข้าพระองค์ขอทูลถามเนื้อความนั้นกับพระองค์
วิมานนี้พระองค์ทรงได้มาอย่างไรหนอ
[๑๕๙๐] วิมานนี้พระองค์ทรงได้มาเพราะอาศัยอะไร
หรือเป็นของเกิดขึ้นตามฤดูกาล
พระองค์ทรงสร้างขึ้นเองหรือเหล่าเทวดาถวายพระองค์
ข้าแต่พญานาค ขอพระองค์ตรัสบอกเนื้อความนี้แก่ข้าพระองค์
ตามที่พระองค์ทรงได้วิมานนี้เถิด”
(พญานาคตรัสว่า)
[๑๕๙๑] “วิมานนี้ เราจะได้มาเพราะอาศัยอะไรก็หามิได้
จะเกิดขึ้นตามฤดูกาลก็หามิได้
เรามิได้ทำขึ้นเอง เหล่าเทวดาก็มิได้ถวาย
วิมานนี้เราได้มาด้วยบุญกรรมอันไม่ต่ำทรามของเราเอง”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๔ }

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก [๒๒.มหานิบาต] ๙.วิธุรชาดก (๕๔๖)
(วิธุรบัณฑิตทูลถามว่า)
[๑๕๙๒] “ข้าแต่นาคราช อะไรเป็นวัตร
อะไรเป็นพรหมจรรย์ของพระองค์
ฤทธิ์ ความรุ่งเรือง กำลัง ความเพียร
และการอุบัติในนาคพิภพ ทั้งวิมานใหญ่ของพระองค์นี้
เป็นผลของกรรมอะไรที่พระองค์ทรงประพฤติไว้ดีแล้ว”
(พญานาคตรัสว่า)
[๑๕๙๓] “เราและภรรยาทั้ง ๒ เมื่อครั้งยังอยู่ในมนุษยโลก
เป็นผู้มีศรัทธา เป็นทานบดี
ครั้งนั้น เรือนของเราเป็นดังบ่อน้ำ
เราได้บำรุงสมณะและพราหมณ์ทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญแล้ว
[๑๕๙๔] เราทั้ง ๒ ได้ถวายทาน คือ ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ เครื่องประทีป ที่นอน ที่พัก
ผ้านุ่งห่ม ผ้าปูนอน ข้าว และน้ำ โดยเคารพ
[๑๕๙๕] ทานที่ได้ถวายโดยความเคารพนั้นเป็นวัตรของเรา
และการสมาทานวัตรนั้นเป็นพรหมจรรย์ของเรา
ท่านนักปราชญ์ ฤทธิ์ ความรุ่งเรือง กำลัง ความเพียร
การอุบัติในนาคพิภพ และวิมานใหญ่ของเรานี้
เป็นผลแห่งวัตรและพรหมจรรย์นั้นที่เราประพฤติดีแล้ว”
(วิธุรบัณฑิตกราบทูลว่า)
[๑๕๙๖] “ถ้าวิมานนี้พระองค์ทรงได้มาด้วยอานุภาพแห่งบุญอย่างนี้
พระองค์ย่อมทรงทราบผลบุญ
และทราบการอุบัติในนาคพิภพเพราะผลบุญ
เพราะเหตุนั้นแล ขอพระองค์อย่าทรงประมาท
จงทรงประพฤติธรรมตามที่จะได้ครอบครองวิมานนี้ต่อไปเถิด”

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๘ หน้า :๔๓๕ }

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น