Google Analytics 4

ร่วมแชร์เป็นธรรมทานนะครับ

เล่มที่ ๔๑-๑๒ หน้า ๖๑๔ - ๖๖๘

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑-๑๒ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๘ ปัฏฐาน ภาค ๒



พระอภิธรรมปิฎก
ธัมมานุโลม ติกปัฏฐาน
_____________
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๐. อัชฌัตตติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๕๕] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

นสัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๕๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๔ วาระ (พึงนับบทอนุโลม)
อวิคตปัจจัย ” มี ๖ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ (๑)
อารัมมณปัจจัยเป็นต้น
[๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย (ย่อ)
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร

[๓] อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

อวิคตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๔] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น
อเหตุกะซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน
ปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ฯลฯ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเกิดขึ้น (๑)
นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย
ในอนุโลม ไม่มีข้อแตกต่างกัน) เพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ...
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
[๖] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย เพราะนอาเสวนปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย)
เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยขันธ์ที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์อาศัยขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น
นวิปากปัจจัยเป็นต้น
[๗] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภาย
ในตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปากปัจจัย (ไม่มีปฏิสนธิ) เพราะนฌานปัจจัย ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัยได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งสหรคตด้วยปัญจวิญญาณเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะนมัคคปัจจัย
(ปัจจัยนี้เหมือนกับนเหตุปัจจัย ไม่มีโมหะ) เพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ใน
อรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์อาศัยสภาวธรรมที่มีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้นเพราะนวิปปยุตตปัจจัย ได้แก่ ในอรูปาวจรภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัย
ขันธ์ ๑ ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ฯลฯ (๑)
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๘] นเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นมัคคปัจจัย มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียะ จบ
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๙] นอธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๑๐] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
มัคคปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ
ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร นิสสยวาร สังสัฏฐวาร และสัมปยุตตวารเหมือน
กับปฏิจจวาร)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๘ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑)
อารัมมณปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจา-
ยตนะที่เป็นภายในตน พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุที่
เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ
อิทธิวิธญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ
อนาคตังสญาณ พระอริยะพิจารณากิเลสที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งละได้
แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น บุคคลเห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภาย
ในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์จึง
เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ
และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๑๙ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ที่เป็นภายนอกตน พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะ พิจารณาทิพพจักขุที่เป็น
ภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ
ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ
เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอก
ตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
[๑๓] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลพิจารณาทิพพจักขุ
ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ
พิจารณาอิทธิวิธญาณ ฯลฯ เจโตปริยญาณ ฯลฯ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ฯลฯ
ยถากัมมูปคญาณ ฯลฯ อนาคตังสญาณ เห็นแจ้งขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯลฯ รู้จิตของ
บุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์
ด้วยเจโตปริยญาณ ขันธ์ที่เป็นภายนอกตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็น
ปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังส-
ญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล
รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจาก
ฌานแล้วพิจารณาฌาน พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล
พิจารณากิเลสที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้
แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ... อิทธิวิธญาณ ... เจโตปริยญาณ ...
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ... ยถากัมมูปคญาณ ... อนาคตังสญาณ ... ขันธ์ที่
เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๐ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้น ราคะที่มีธรรมภายใน
ตนเป็น อารมณ์จึงเกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น ขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรม
ภายนอกตนเป็น อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๒)
อธิปติปัจจัย
[๑๔] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ
และสหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลพิจารณาวิญญาณัญจายตนะที่เป็นภายในตน
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาเนวสัญญานาสัญญายตนะให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ฯลฯ อิทธิวิธญาณ ...
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ... ยถากัมมูปคญาณ ... อนาคตังสญาณให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดี
เพลิดเพลินขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์โดยอธิปติปัจจัย (๑)
[๑๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ
ได้แก่ อธิบดีธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์โดย
อธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๑ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออก
จากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น บุคคล
พิจารณาทิพพจักขุที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น ฯลฯ พิจารณาทิพพโสตธาตุ ... อิทธิวิธญาณ ... เจโตปริยญาณ
... ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ .... ยถากัมมูปคญาณ .... อนาคตังสญาณให้เป็น
อารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลินขันธ์ที่เป็นภายในตนซึ่งมีธรรมภายนอกตน
เป็นอารมณ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินขันธ์นั้นให้
เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึง
เกิดขึ้น (๒)
อนันตรปัจจัย
[๑๖] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย
ภวังคจิตที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตซึ่งมีธรรมภายนอก
ตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
วุฏฐานะซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่โคตรภู ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ... อนุโลม
เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ ... เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๒)
[๑๗] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๒ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
เป็นอารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
โคตรภู ... อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน ... โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค ... โวทาน
เป็นปัจจัยแก่มรรค ... มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ... ผลเป็นปัจจัยแก่ผล ... อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ จุติจิตที่มีธรรมภายนอกตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย
ภวังคจิตที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิตที่มีธรรมภายใน
ตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัย
แก่วุฏฐานะที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอนันตรปัจจัย (๒)
สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๑๘] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย
เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย
อุปนิสสยปัจจัย
[๑๙] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา
และอนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๓ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
[๒๐] สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่
มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ
และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และ
อนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่อนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา
และอนัตตานุปัสสนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๒)
อาเสวนปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดหลัง ๆ
โดยอาเสวนปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ อนุโลมที่มีธรรมภายในตนเป็น
อารมณ์เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานโดยอาเสวนปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
อารมณ์ซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์ซึ่งเกิด
หลัง ๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัย
แก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)
กัมมปัจจัย
[๒๒] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต-
ขันธ์โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์
ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่
เจตนาที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภาย
นอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ นานาขณิกะ ได้แก่
เจตนาที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งมีธรรมภายใน
ตนเป็นอารมณ์โดยกัมมปัจจัย (๒)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๒๓] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัตถิปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนัตถิปัจจัย เป็น
ปัจจัยโดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอวิคตปัจจัย
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๔] เหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๔ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๓ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒ วาระ ฯลฯ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)

สัมปยุตตปัจจัย มี ๒ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจนียุทธาร
[๒๕] สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มี
ธรรมภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย
และกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายในตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายนอกตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และ
กัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่มีธรรมภายนอกตนเป็นอารมณ์เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่มีธรรม
ภายในตนเป็นอารมณ์โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และกัมมปัจจัย (๒)
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร

[๒๖] นเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๔ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๔ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๔ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๔ วาระ)

นปุเรชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๔ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๔ วาระ ฯลฯ
โนอวิคตปัจจัย มี ๔ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ

[๒๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นอาเสวนปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นกัมมปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒ วาระ)
(พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม

[๒๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๔ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๒ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๘ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ๗. ปัญหาวาร

กัมมปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๔ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๒ วาระ ฯลฯ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๔ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๔ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัญหาวาร จบ
อัชฌัตตารัมมณติกะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๒๙ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้น จักขายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ฯลฯ รสายตนะ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิด
ขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะอาศัย
โผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น อาโปธาตุ
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ
อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ และอาโปธาตุ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๐ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัย
โผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิด
ขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ฯลฯ
กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น (๗)
[๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ ขันธ์ ๒ และ
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๒ เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๑ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้
อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะอาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ
รสายตนะอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป
ที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่
ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทาย-
รูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะ
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๒ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นได้กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะ
จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่
ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็น
ไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (๗)
[๓] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๓ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
ไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ใน
ปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และ
อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ
เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ
ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโป-
ธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๓)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นได้แต่กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่
ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัย
มหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๕)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูป ที่เห็นได้กระทบได้ และที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิด
ขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุ
เกิดขึ้น (๖)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่
ได้กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุ
เกิดขึ้น รูปายตนะ จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหาร
อาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น (๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อารัมมณปัจจัย
[๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอารัมมณปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ
ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)
อธิปติปัจจัย
[๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เป็นอุปาทายรูปอาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น (๑)
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้ ไม่มีบทสุดท้าย)
[๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนก
เป็น ๗ วาระ ไม่มีบทจบ)
[๗] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอธิปติปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
อนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย
[๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับ
อารัมมณปัจจัย)
สหชาตปัจจัย
[๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ ได้
เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ...
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ เกิดขึ้น ฯลฯ
(พึงจำแนกบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูลเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๑๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัย
ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัย-
วัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์
ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็น
สมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูป
ที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงเพิ่มเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๑] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะสหชาตปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่
เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)
อัญญมัญญปัจจัย
[๑๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้น (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ และ
อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ และ
อาโปธาตุอาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๓)
[๑๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓
และหทัยวัตถุอาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒
ฯลฯ หทัยวัตถุอาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๘ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๒)
[๑๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒
อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น มหาภูตรูป
๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ฯลฯ (๑)
นิสสยปัจจัยเป็นต้น
[๑๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้นเพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย
เพราะอาเสวนปัจจัย เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย เพราะอาหารปัจจัย
เพราะอินทรียปัจจัย เพราะฌานปัจจัย เพราะมัคคปัจจัย เพราะสัมปยุตตปัจจัย
เพราะวิปปยุตตปัจจัย เพราะอัตถิปัจจัย เพราะนัตถิปัจจัย เพราะวิคตปัจจัย
เพราะอวิคตปัจจัย
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๑๖] เหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อารัมมณปัจจัย มี ๑ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๑ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๓๙ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร

อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๒๑ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๒๑ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๒๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลม จบ
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๑. วิภังควาร
นเหตุปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูป
และกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะเกิดขึ้น ...
ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ... อาศัยมหาภูตรูป ฯลฯ
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๐ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
[๑๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ
อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์อาศัยหทัยวัตถุเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ
กวฬิงการาหารอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น โมหะที่สหรคตด้วย
วิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วยอุทธัจจะอาศัยขันธ์ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉาและที่สหรคตด้วย
อุทธัจจะเกิดขึ้น
(พึงจําแนกบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูลเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๑๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนเหตุปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เป็นอเหตุกะซึ่งเห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูป
เกิดขึ้นในปฏิสนธิขณะที่เป็นอเหตุกะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่
เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่
เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็น
ภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่า
อสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัย
มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ ผู้รู้พึงขยายให้พิสดารเป็น ๗ วาระ )

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๑ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอารัมมณปัจจัย
[๒๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็น
ไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูป
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะ
เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น ฯลฯ
(พึงขยายบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นมูลให้พิสดารเป็น ๗ วาระ
ด้วยเหตุนี้)
[๒๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เกิดขึ้น หทัยวัตถุ
อาศัยขันธ์เกิดขึ้น ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น อิตถินทรีย์ ฯลฯ กวฬิงการาหารอาศัย
อาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็น
สมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูลพึงขยายให้พิสดารเป็น ๗
วาระ ด้วยเหตุนี้)
[๒๒] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ ได้
และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนอารัมมณปัจจัย ได้แก่ จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๒ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
และอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็น
ได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
รูปายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะและอาโปธาตุเกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(ในฆฏนา พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ ด้วยเหตุนี้)
นอธิปติปัจจัยเป็นต้น
[๒๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้เกิดขึ้นเพราะนอธิปติปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับสหชาตปัจจัย) เพราะ
นอนันตรปัจจัย เพราะนสมนันตรปัจจัย เพราะนอัญญมัญญปัจจัย ได้แก่ จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูป
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะอาศัยโผฏฐัพพายตนะ
เกิดขึ้น ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ...
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น
(ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๒๑ วาระ )
... เพราะนอุปนิสสยปัจจัย เพราะนปุเรชาตปัจจัย เพราะนปัจฉาชาตปัจจัย
เพราะนอาเสวนปัจจัย เพราะนกัมมปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๒ เกิดขึ้น
อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เกิดขึ้น
(พึงจําแนกกัมมปัจจัยแล้วเพิ่มเป็น ๒๑ วาระ ด้วยนกัมมปัจจัยนั่นเอง) เพราะ
นวิปากปัจจัย (ไม่มีปฏิสนธิและกฏัตตารูป พึงเพิ่มเฉพาะในปัญจโวการภพเท่านั้น)
เพราะนอาหารปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับ
เหล่าอสัญญสัตตพรหม ฯลฯ (ด้วยเหตุนี้ พึงจําแนกเป็น ๒๑ วาระ)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๓ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร
นอินทรียปัจจัยเป็นต้น
[๒๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้เกิดขึ้นเพราะนอินทรียปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฯลฯ
สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม รูปชีวิตินทรีย์อาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้น (ย่อ พึง
จําแนกวาระทั้งปวง) เพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหาร
เป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหา-
ภูตรูป ๑ (ย่อ พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย
ปัญจวิญญาณเกิดขึ้น ฯลฯ อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มี
อาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้อาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ ด้วยอาการอย่างนี้)
[๒๕] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนฌานปัจจัย ได้แก่ ... ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม
ฯลฯ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปที่เห็นได้และกระทบได้อาศัยมหาภูตรูปที่เห็นไม่
ได้แต่กระทบได้และอาศัยอาโปธาตุเกิดขึ้น
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระด้วยอาการอย่างนี้) เพราะนมัคคปัจจัย (พึงทําให้
เหมือนกับนเหตุปัจจัย พึงทำให้บริบูรณ์ ไม่มีโมหะ) เพราะนสัมปยุตตปัจจัย
เพราะนวิปปยุตตปัจจัย (พึงทำให้บริบูรณ์) เพราะโนนัตถิปัจจัย เพราะโนวิคตปัจจัย
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๒๖] นเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๑. ปฏิจจวาร

นอธิปติปัจจัย มี ๒๑ วาระ

(ย่อ ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๒๑ วาระ)

โนนัตถิปัจจัย มี ๒๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียะ จบ
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๒๗] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ ฯลฯ
นกัมมปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นวิปากปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

อนุโลมปัจจนียะ จบ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๒๘] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๑ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ ฯลฯ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

ฌานปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๑ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)

ปัจจนียานุโลม จบ ปฏิจจวาร จบ
(สหชาตวาร ปัจจยวาร และนิสสยวาร เหมือนกับปฏิจจวาร พึงเพิ่ม
สังสัฏฐวารและสัมปยุตตวารเฉพาะในอรูปาวจรภูมิเท่านั้น)
๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๒๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเหตุปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๒)
(เฉพาะบทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗
วาระ ด้วยเหตุนี้)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อารัมมณปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งรูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็น
ทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น ราคะ
จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วิจิกิจฉาจึงเกิดขึ้น อุทธัจจะจึงเกิดขึ้น โทมนัสจึงเกิดขึ้น
บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอารัมมณปัจจัย
ขันธ์ที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ... กลิ่น
... รส ... โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลฟังเสียง
ด้วยทิพพโสตธาตุ สัททายตนะเป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑)
[๓๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถแล้วพิจารณากุศลนั้น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ออกจากฌาน ฯลฯ
พระอริยะออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน
เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระ
อริยะพิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว รู้กิเลสที่เคยเกิดขึ้น ฯลฯ
บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ
... กวฬิงการาหาร ... ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ
โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่งพร้อมด้วยจิตที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้ด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจา-
ยตนะโดยอารัมมณปัจจัย อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ฯลฯ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ
ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดย
อารัมมณปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อธิปติปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดี
เพลิดเพลินรูปให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น
ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลยินดี
เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะให้เป็นอารมณ์
อย่างหนักแน่น เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๑)
[๓๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและ
สหชาตาธิปติ
อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว
พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระ
อริยะออกจากมรรค ฯลฯ ออกจากผล ฯลฯ พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่าง
หนักแน่น ฯลฯ พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ... นิพพานเป็น
ปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลิน
หทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ...
กวฬิงการาหาร ... ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
เพราะทําความยินดีเพลิดเพลินหทัยวัตถุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น
ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น
สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอธิปติปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๘ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดย
อธิปติปัจจัย (๒)
(บทที่มีสภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นมูล พึงจําแนกเป็น ๗ วาระ
พึงจําแนกอธิบดีธรรมโดยสงเคราะห์เข้าในรูป ๓ อย่าง)
อนันตรปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิด
ก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอนันตรปัจจัย
อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค
โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรค มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมเป็น
ปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัย
แก่ผลสมาบัติโดยอนันตรปัจจัย (๑)
สมนันตรปัจจัย
[๓๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยสมนันตรปัจจัย (ปัจจัยนี้เหมือนกับอนันตรปัจจัย)
สหชาตปัจจัยเป็นต้น
[๓๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (พึงทําให้เหมือนกับปฏิจจวาร ในอัญญมัญญปัจจัย
เหมือนกับอัญญมัญญปัจจัย ในปฏิจจวาร ในนิสสยปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร)
อุปนิสสยปัจจัย
[๓๗] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๔๙ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาวรรณสมบัติ จึงให้ทาน สมาทาน
ศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ วรรณสมบัติเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ
... ความปรารถนา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... มรรคและผลสมาบัติ
โดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูป-
นิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเมื่อปรารถนาจักขุสมบัติ ฯลฯ เมื่อปรารถนา
กายสมบัติ ... สัททสมบัติ ... โผฏฐัพพสมบัติ จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ... บุคคลอาศัยอุตุ ... เสนาสนะแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ...
ทําฌาน ... วิปัสสนา ... มรรค ... อภิญญา ... สมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ
ทําลายสงฆ์ จักขุสมบัติ ฯลฯ โผฏฐัพพสมบัติ ... อุตุ ... เสนาสนะเป็นปัจจัย
แก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ...
ทุกข์ทางกาย ... มรรคและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
[๓๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ
อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ
ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษา
อุโบสถ ... ทําฌาน ... สมาบัติให้เกิดขึ้น มีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา
... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกายและโภชนะแล้ว
ให้ทาน ฯลฯ ทําลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา
... สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย และโภชนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... มรรค
และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑)
ปุเรชาตปัจจัย
[๓๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๐ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
บุคคลเห็นแจ้งรูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยินดีเพลิดเพลิน
เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินรูปนั้น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ
อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ฯลฯ
โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลฟังเสียงด้วย
ทิพพโสตธาตุ สัททายตนะเป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น
ปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะ
เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ
อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ...
ปุริสินทรีย์ ... ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ... กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง
ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น
วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
[๔๐] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ
อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่
ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณ-
ปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะและหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ
และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๑ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะ
และวัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะและจักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดย
ปุเรชาตปัจจัย (๑)
ปัจฉาชาตปัจจัย
[๔๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่ง
เกิดภายหลังเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยปัจฉาชาต-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดภายหลัง
เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนซึ่งเห็นได้และกระทบได้โดยปัจฉาชาตปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกเป็น ๗ วาระอย่างนี้ สงเคราะห์รูป ๓ อย่าง) (๗)
อาเสวนปัจจัย
[๔๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาเสวนปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่ง
เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ซึ่งเกิดหลัง ๆ โดยอาเสวน-
ปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัย
แก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดยอาเสวนปัจจัย (๑)
กัมมปัจจัย
[๔๓] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่
ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์
และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๒ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็น
วิบากและกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยกัมมปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ
สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป
ที่เห็นได้และกระทบได้โดยกัมมปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกสหชาตะ และนานาขณิกะ เป็น ๗ วาระ อย่างนี้ ด้วยเหตุนี้
สงเคราะห์รูป ๓ อย่าง) (๗)
วิปากปัจจัย
[๔๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นวิบากซึ่งเห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
โดยวิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
วิปากปัจจัย ฯลฯ ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปากปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยวิปากปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นวิบากซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็น
ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ
ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดย
วิปากปัจจัย (๒)
(พึงขยายให้พิสดารเป็น ๗ วาระอย่างนี้ พึงขยายปวัตติกาลและปฏิสนธิกาล)
(๗)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๓ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
อาหารปัจจัย
[๔๕] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็น
ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัย
แก่กายนี้ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอาหารปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอาหารปัจจัย ได้แก่ อาหารที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อาหารที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย
กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เห็นได้และกระทบได้โดยอาหารปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกปวัตติกาล และปฏิสนธิกาลเป็น ๗ วาระอย่างนี้ แม้วาระทั้ง ๗
พึงเพิ่มกวฬิงการาหารด้วย) (๗)
อินทรียปัจจัย
[๔๖] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ
กายินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และ
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่
กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ อินทรีย์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อินทรีย์ที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย
รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอินทรียปัจจัย (๒)
(พึงจําแนกปวัตติกาลและปฏิสนธิกาลเป็น ๗ วาระ อย่างนี้ ส่วนรูปชีวิตินทรีย์
พึงเพิ่มในตอนท้าย ๆ) (๗)
[๔๗] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอินทรียปัจจัย ได้แก่ จักขุนทรีย์และ
จักขุวิญญาณเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณโดยอินทรียปัจจัย ฯลฯ
กายินทรีย์และกายวิญญาณเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณโดยอินทรีย-
ปัจจัย (๑)
ฌานปัจจัยเป็นต้น
[๔๘] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยฌานปัจจัย เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตต-
ปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย
สัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
วิปปยุตตปัจจัย
[๔๙] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็น
ปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยวิปปยุตต-
ปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย
ขันธ์เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุโดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์โดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
วิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยวิปปยุตตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปัจฉาชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน-
รูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นได้และกระทบได้โดยวิปปยุตตปัจจัย (๒)
(พึงขยายวาระทั้ง ๕ ที่เหลือให้พิสดารอย่างนี้ พึงขยายสหชาตะ และ
ปัจฉาชาตะให้พิสดาร)
อัตถิปัจจัย
[๕๐] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ฯลฯ บุคคลเห็นแจ้ง
รูปโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ
รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
[๕๑] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ มหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัย

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
แก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ โดย
อัตถิปัจจัย มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและ
กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะ
เป็นปัจจัยแก่จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะโดยอัตถิปัจจัย ... ที่เป็นภายนอก ...
ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... มหาภูตรูป ๑ เป็นปัจจัย
แก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๑ โดย
อัตถิปัจจัย มหาภูตรูปที่มีอุตุเป็นสมุฏฐานเป็นปัจจัยแก่อุปาทายรูปที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม มหาภูตรูป ๑ ที่เห็นไม่ได้
แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบ
ได้โดยอัตถิปัจจัย (๒) (ปัจจัยนี้เหมือนกับนิสสยปัจจัยในปฏิจจวาร)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และ
กระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ
สหชาตะ ได้แก่ มหาภูตรูปที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
(พึงขยายให้พิสดารจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ กาย ... เสียง ฯลฯ
โผฏฐัพพะโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่
จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๓)
(พึงขยาย ๔ วาระที่เหลือให้พิสดารเหมือนกับสหชาตปัจจัยในปฏิจจวาร
ไม่มีแตกต่างกัน) (๗)
[๕๒] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ
อาหาระ และอินทรียะ
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓
และจิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อาโปธาตุเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปและกฏัตตารูปที่เป็น
อุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ฯลฯ อาโปธาตุเป็นปัจจัยแก่อิตถินทรีย์
ฯลฯ กวฬิงการาหารโดยอัตถิปัจจัย ... ที่เป็นภายนอก ... ที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน
... ที่มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ... สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหม อาโปธาตุเป็นปัจจัย
แก่กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทายรูปซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งหทัยวัตถุ ... อิตถินทรีย์ ... ปุริสินทรีย์ ...
ชีวิตินทรีย์ ... อาโปธาตุ ... กวฬิงการาหารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส
จึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย
ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิด
ก่อนซึ่งเห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้
ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปที่
เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย (พึงจําแนก ๖ วาระที่เหลืออย่างนี้ พึง
เพิ่มสหชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ) (๗)
[๕๓] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ รูปายตนะและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดย
อัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้โดยอัตถิปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่
ได้และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปที่เห็นได้และกระทบได้โดยอัตถิปัจจัย
ในปฏิสนธิขณะ (ย่อ สําหรับเหล่าอสัญญสัตตพรหมพึงจัดไว้ด้วย) (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยอัตถิปัจจัย (ย่อ) (๒)
[๕๔] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัย
แก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ
และปุเรชาตะ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๘ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้และมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่จิตต-
สมุฏฐานรูปที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ ฯลฯ (พึงเพิ่มจนถึงอสัญญสัตตพรหม)
ปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะและหทัยวัตถุ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะและหทัย-
วัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย (๓) (พึงจําแนก ๔
วาระที่เหลือ) (๗)
[๕๕] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ
ได้แก่ รูปายตนะและจักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง
คือ สหชาตะและปุเรชาตะ ได้แก่ รูปายตนะจักขายตนะและจักขุวิญญาณเป็น
ปัจจัยแก่ขันธ์ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณโดยอัตถิปัจจัย (๑)
(นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัยเหมือนกับอนันตรปัจจัย อวิคตปัจจัยเหมือนกับ
อัตถิปัจจัย)
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๕๖] เหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๕๙ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

ปุเรชาตปัจจัย มี ๖ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๗ วาระ
อาเสวนปัจจัย มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย มี ๗ วาระ
อาหารปัจจัย มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย มี ๘ วาระ
อัตถิปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นัตถิปัจจัย มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย มี ๒๕ วาระ

เหตุสภาคนัย

[๕๗] อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๐ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
เหตุสามัญญฆฏนา (๙)
[๕๘] ปัจจัย ๕ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ อัตถิ และอวิคตะ มี
๑ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ สัมปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปปยุตตะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗
วาระ (อวิปาก ๔)
ปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปากะ อัตถิ และอวิคตะ มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ อัตถิ และอวิคตะ
มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๘ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ สัมปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ
ปัจจัย ๗ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ วิปากะ วิปปยุตตะ อัตถิ และอวิคตะ
มี ๗ วาระ
ปัจจัย ๘ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ วิปากะ วิปปยุตตะ อัตถิ
และอวิคตะ มี ๑ วาระ (สวิปากะ ๕)
(พึงนับวาระที่จะต้องนับทั้งหมดอย่างนี้)
อนุโลม จบ
๒. ปัจจนียุทธาร
[๕๙] สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้
และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๑ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบ
ได้โดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบ
ไม่ได้ โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และ
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ที่
เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๗)
[๖๐] สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็น
ไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาต-
ปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้และ
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และ
อินทรียปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และ
อินทรียปัจจัย (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบ
ได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย
อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่
กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย
อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๕)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๒ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้
และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย
และอินทรียปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้
ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย
กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๗)
[๖๑] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้และกระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๑)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๒)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะ และปุเรชาตะ (๓)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๔)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัย (๕)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้โดยสหชาตปัจจัย (๖)
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาว-
ธรรมที่เห็นได้กระทบได้ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้และที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้โดย
สหชาตปัจจัย (๗)
[๖๒] สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้และที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้เป็นปัจจัยแก่
สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ (๑)
สภาวธรรมที่เห็นได้กระทบได้ ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ และที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้เป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้โดยสหชาตปัจจัยและปุเรชาต-
ปัจจัย (๑)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๓ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย

[๖๓] นเหตุปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอารัมมณปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นอธิปติปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสมนันตรปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสหชาตปัจจัย มี ๑๒ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอาเสวนปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นกัมมปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นวิปากปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นอาหารปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นอินทรียปัจจัย มี ๒๓ วาระ
นฌานปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นมัคคปัจจัย มี ๒๕ วาระ
นสัมปยุตตปัจจัย มี ๒๔ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย มี ๒๒ วาระ
โนอัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย มี ๒๕ วาระ
โนวิคตปัจจัย มี ๒๕ วาระ
โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๔ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นเหตุทุกนัย

นอารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๒๒ วาระ (เหมือนกับข้อความตอนต้น)
โนอวิคตปัจจัย ” มี ๙ วาระ

นเหตุติกนัย

นอธิปติปัจจัย กับนเหตุปัจจัยและนอารัมมณปัจจัย มี ๒๒ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นสหชาตปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นนิสสยปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” ” มี ๒๑ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนอัตถิปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” ” มี ๒๒ วาระ
โนอวิคตปัจจัย ” ” มี ๙ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียะ จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๕ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
เหตุทุกนัย

[๖๔] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๗ วาระ
นอธิปติปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นปุเรชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ ฯลฯ
นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนนัตถิปัจจัย ” มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย ” มี ๗ วาระ

เหตุสามัญญฆฏนา

[๖๕] นอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ๕ คือ เหตุ สหชาตะ นิสสยะ อัตถิ

และอวิคตะ มี ๗ วาระ ฯลฯ

นอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ

(แม้ในข้อความนี้ก็ย่อไว้)

นสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
นวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๑ วาระ
โนนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ
โนวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี ๗ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๖ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร
นอารัมมณปัจจัย กับปัจจัย ๖ คือ เหตุ สหชาตะ อัญญมัญญะ นิสสยะ
อัตถิและอวิคตะ มี ๑ วาระ (ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๑ วาระ)
โนวิคตปัจจัยกับ ฯลฯ มี ๑ วาระ (พึงนับอย่างนี้)
อนุโลมปัจจนียะ จบ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
นเหตุทุกนัย

[๖๖] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ
อนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สมนันตรปัจจัย ” มี ๑ วาระ
สหชาตปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อัญญมัญญปัจจัย ” มี ๖ วาระ
นิสสยปัจจัย ” มี ๒๑ วาระ
อุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย ” มี ๖ วาระ
ปัจฉาชาตปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อาเสวนปัจจัย ” มี ๑ วาระ
กัมมปัจจัย ” มี ๗ วาระ
วิปากปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อาหารปัจจัย ” มี ๗ วาระ
อินทรียปัจจัย ” มี ๙ วาระ
ฌานปัจจัย ” มี ๗ วาระ
มัคคปัจจัย ” มี ๗ วาระ
สัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ


{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๗ }

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน] ๒๒. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ ๗. ปัญหาวาร

วิปปยุตตปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๘ วาระ
อัตถิปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ
นัตถิปัจจัย ” มี ๑ วาระ
วิคตปัจจัย ” มี ๑ วาระ
อวิคตปัจจัย ” มี ๒๕ วาระ

(พึงนับอย่างนี้)
ปัจจนียานุโลม จบ ปัญหาวาร จบ
สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ จบ
ธัมมานุโลมติกปัฏฐานสุดท้าย จบ

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๑ หน้า :๖๖๘ }

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๑ อภิธรรมปิฎกที่ ๐๘ ปัฏฐาน ภาค ๒ จบ

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น