ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่
หน้านี้จะเป็นการอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาท 12 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้งมากของพระพุทธศาสนา อย่างละเอียดนะครับ
ปฏิจจสมุปบาท อ่านว่า
ปะ-ติด-จะ-สะ-หมุบ-บาดปฏิจจสมุปบาท คือ
หลักธรรมคำสอนที่อธิบายถึงการที่สิ่งต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุให้เกิด แต่สิ่งทั้งปวงล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้นครับปฏิจจสมุปบาทนับว่าเป็นหลักคำสอนที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งของพระพุทธศาสนานะครับ ปฏิจจสมุปบาทมีหลายชื่อเช่น ปัจจยาการ, อิทัปปัจจยตา เป็นต้น ปฏิจจสมุปบาทเป็นคำสอนที่อธิบายถึงสาเหตุและผลลัพธ์ในแต่ละขั้นตอนของชิวิตในวัฏสงสาร คืออธิบายว่าเหตุใดเมื่อตายแล้วจึงมีการเกิดใหม่อย่างไม่รู้จบสิ้น หรืออธิบายถึงบ่อเกิดแห่งทุกข์นั่นเองครับ รวมถึงอธิบายให้เห็นว่าจะดับหรือยุติกระบวนการเหล่านี้ได้อย่างไร
ปฏิจจ แปลว่า อาศัย, พึ่งพิง คือสิ่งต่างๆ นั้นจะเกิดขึ้นมาเองลอยๆ โดยไม่มีสาเหตุไม่ได้ จะต้องมีสิ่งอื่นเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดจึงเกิดขึ้นมาได้นะครับ ปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นสิ่งที่อธิบายให้เห็นว่า เพราะมีสิ่งนี้ (เหตุ) สิ่งนี้ (ผล) จึงมี เพราะสิ่งนี้ (เหตุ) เกิด สิ่งนี้ (ผล) จึงเกิดขึ้น เมื่อเหตุสิ้นไปผลจึงไม่เกิดขึ้น คืออธิบายถึงการที่สิ่งต่างๆ อิงอาศัยสิ่งอื่นจึงเกิดขึ้นมาได้นั่นเองครับ
ปฏิจจสมุปบาทนั้นอธิบายถึงชีวิตใน 3 ชาตินะครับ โดยแบ่งเป็นขั้นตอนต่างๆ 12 ขั้น โดยแต่ละขั้นนั้นจะมีขั้นก่อนหน้าเป็นเหตุให้เกิด และตัวขั้นนั้นเองก็เป็นเหตุให้ขั้นถัดไปเกิดขึ้นเช่นกันครับ คืออดีตเป็นเหตุให้ปัจจุบันเกิด และปัจจุบันก็เป็นเหตุให้อนาคตเกิดขึ้นนั่นเองครับ
ในที่นี้จะยกหัวข้อขึ้นแสดงให้เห็นภาพรวมก่อนนะครับ แล้วแสดงรายละเอียดในลำดับถัดไป
ชาติที่
1 >
|
อวิชชา
|
v
|
|
สังขาร
|
|
v
|
|
ชาติที่
2 >
|
วิญญาณ
|
v
|
|
นาม
- รูป
|
|
v
|
|
สฬายตนะ
|
|
v
|
|
ผัสสะ
|
|
v
|
|
เวทนา
|
|
v
|
|
ตัณหา
|
|
v
|
|
อุปาทาน
|
|
v
|
|
ภพ
หรือ ภวะ
|
|
v
|
|
ชาติที่
3 >
|
ชาติ
|
v
|
|
ชรา มรณะ ทุกข์ต่างๆ
(ความโศก ความคร่ำครวญร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจทั้งหลาย) |
|
ปฏิจจสมุปบาทสายเกิดมีรายละเอียดดังนี้ครับ
อวิชชา (ความไม่รู้) เพราะความไม่รู้ว่าการเกิดเป็นสาเหตุที่สำคัญที่ทำให้เป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าการเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป (ดูเรื่องวิปัสสนา-หลักการพื้นฐาน หัวข้อทุกข์เกิดจากอะไร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบนะครับ) ความยินดีในการเกิดจึงมีอยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะในจิตใต้สำนึกอยู่ตลอดเวลานะครับ การคิดปรุงแต่งของจิต (สังขาร) ที่เกี่ยวเนื่องด้วยการเกิดใหม่ จึงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆสังขาร (การปรุงแต่งของจิต - ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ โดยเฉพาะในหัวข้อสังขารขันธ์) เมื่อความยินดีในการเกิดยังมีแฝงลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เมื่อความตายกำลังจะมาถึงจิตจึงปรุงแต่งไปในทางที่ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับ เมื่อไม่สามารถรักษาชีวิตในชาตินี้ให้ยั่งยืนต่อไปได้แล้ว ความดิ้นรนของจิตเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปจึงทำให้เกิดพลังอย่างมหาศาล ส่งผลให้จิตวิญญาณในภพใหม่หรือชาติใหม่เกิดขึ้นทันทีที่ตายจากชาตินี้ครับ
กรณีของคนที่ฆ่าตัวตายนั้น (ที่ไม่ใช่พระอรหันต์นะครับ) เนื่องจากอวิชชายังมีอยู่ จิตใต้สำนึกของเขาจึงยังยินดีในการเกิดอยู่นะครับ และการที่เขาคิดฆ่าตัวตายนั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความยินดีในการเกิดนะครับ แต่เป็นเพราะว่าเขาทนกับสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นไม่ได้ต่างหาก ถ้าเขาสามารถพ้นจากสภาพนั้นได้เขาก็ย่อมจะไม่ฆ่าตัวตายนะครับ ดังนั้น เมื่อใกล้จะตายความดิ้นรนของจิตอันเกิดจากความยินดีในการเกิดที่แฝงเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึกจึงเกิดขึ้น เขาจึงต้องเกิดใหม่อีกเช่นกันครับ
ผู้ที่พ้นจากการเกิดใหม่ได้จึงมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นนะครับ เพราะอวิชชาหมดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทั้งในจิตสำนึกและในจิตใต้สำนึก ความยินดีในการเกิดจึงไม่ปรากฏขึ้นมาอีกครับ
วิญญาณ (สิ่งที่รับรู้ความรู้สึกต่างๆ - ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ) คำว่าวิญญาณในที่นี้มุ่งเน้นที่ปฏิสนธิวิญญาณหรือปฏิสนธิจิต คือจิตหรือวิญญาณที่เกิดขึ้นในขณะแรกของภพหรือของชาติใหม่นะครับ เนื่องจากวิญญาณขันธ์ไม่สามารถอยู่โดยลำพังเพียงขันธ์เดียวได้จะต้องมีรูปขันธ์และนามขันธ์อื่นที่เหลือ (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) อยู่ด้วยเสมอนะครับ (ยกเว้นในบางภูมิ ที่มีเฉพาะรูปขันธ์ หรือนามขันธ์เท่านั้นนะครับ) ดังนั้นเมื่อปฏิสนธิวิญญาณเกิดขึ้น จึงเหนี่ยวนำให้นามขันธ์อื่นที่เหลือและรูปขันธ์ (นาม - รูป) เกิดขึ้นพร้อมกับวิญญาณขันธ์นั้นครับ เหมือนเมื่อมีเปลวไฟแล้วแสงสว่างกับความร้อนก็ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกันนะครับ
นาม - รูป (นามขันธ์และรูปขันธ์ - ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ) เมื่อนามขันธ์และรูปขันธ์เกิดขึ้นมาแล้ว อวัยวะรับความรู้สึกทั้งหลายคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งรวมเรียกว่าสฬายตนะ หรืออายตนะภายใน 6 อย่าง (ดูเรื่องอายตนะ 12 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ) ย่อมเกิดขึ้นตามสมควรแก่กรรมของบุคคลนั้น และตามสมควรแก่ภพภูมิที่เกิดนั้นครับ
สฬายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ - ดูเรื่องอายตนะ 12 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ) เมื่อสฬายตนะหรืออวัยวะรับความรู้สึกต่างๆ อยู่ในสภาพที่ดี พร้อมใช้งานแล้ว เมื่อมีสิ่งต่างๆ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ธัมมารมณ์ (ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ) มากระทบอย่างเหมาะสมกับอวัยวะเหล่านั้น ผัสสะ (การกระทบกันของประสาทตากับรูป, ประสาทหูกับเสียง, ประสาทรับกลิ่นกับกลิ่น, ประสาทรับรสกับรส, ประสาทกายกับโผฏฐัพพะ, ใจกับธัมมารมณ์) ย่อมเกิดขึ้นนะครับ
ผัสสะ (การกระทบกันของประสาทตากับรูป,..., ใจกับธัมมารมณ์) เมื่อมีผัสสะแล้ว การรับรู้ในสิ่งต่างๆ จึงตามมา ส่งผลให้เวทนาเกิดขึ้นนะครับ (สุข ทุกข์ กลางๆไม่สุขไม่ทุกข์ - ดูหัวข้อเวทนาขันธ์ ในเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ)
เวทนา (เวทนาขันธ์ - ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบนะครับ) เมื่อสุขเวทนา หรือโสมนัสเวทนาเกิดขึ้น ความเพลิดเพลิน ความยินดีพอใจย่อมตามมา (ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะไม่มีอวิชชา และกิเลสทั้งปวงแล้วนะครับ) ไม่นานนักตัณหา (ความทะยานอยาก) คือความอยากได้สิ่งเหล่านั้น หรือสัมผัสเหล่านั้นต่อไปเรื่อยๆ หรือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดขึ้นนะครับ
ตัณหา (ความทะยานอยาก) เมื่อตัณหาเกิดขึ้นบ่อยๆ กำลังของตัณหานั้นก็ย่อมจะมากขึ้นทุกทีนะครับ ความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) ในสิ่งเหล่านั้น หรือในความทะยานอยากนั้นย่อมเกิดขึ้นและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันครับ
อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมอยากจะได้รับสิ่งเหล่านั้นต่อไปอีกในอนาคต ซึ่งรวมถึงในชาติต่อๆ ไปด้วยนะครับ การสร้างวิมานในอากาศจึงเกิดขึ้น (ความปรารถนาไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ที่มีสภาพเหมือน หรือดีกว่าสิ่งที่ตนยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น) จึงเรียกได้ว่าขณะนั้นภพได้เกิดขึ้นในใจแล้วนะครับ และเมื่อปรารถนาไปเกิดในภพภูมิใด ความพยายามในการสร้างกรรม (อาจจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ได้นะครับ) เพื่อให้ไปเกิดในภพภูมินั้น (เรียกว่ากรรมภวะ) ย่อมตามมา (ภวะ หรือภพมี 2 อย่าง คือ ขณะสร้างกรรมเพื่อให้ไปเกิดในภพภูมินั้น เรียกว่ากรรมภวะ หรือกรรมภพ และขณะที่ได้ไปเกิดในภพภูมินั้นจริงๆ เรียกว่าอุปปัตติภวะ หรืออุปปัตติภพครับ)
ภพ หรือ ภวะ เมื่อวิมานในอากาศเกิดขึ้นในใจ หรือเมื่อกรรมภพหรือกรรมภวะเกิดขึ้นแล้ว เช่น การทำบุญให้ทาน การรักษาศีลเพราะหวังว่าจะได้ไปสวรรค์ หรือหวังว่าชาติหน้าจะได้รวยๆ การทำสมาธิเพราะหวังว่าจะได้ไปเกิดในรูปภูมิ หรืออรูปภูมิ ฯลฯ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าความยินดีพอใจ หรือความปรารถนาในการเกิดใหม่นั้นมีอยู่อย่างเต็มที่นะครับ ดังนั้น เมื่อใกล้จะตายจิตจึงดิ้นรนเพื่อให้ได้เกิดใหม่ในชาติต่อไป ซึ่งจะไปเกิดเป็นอะไรในภพภูมิไหนนั้นก็ขึ้นกับกรรมที่ได้กระทำเอาไว้นะครับ
ชาติ (ชาตะ - การเกิดใหม่) เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วย่อมหนีไม่พ้นชรา (ความเสื่อมไปตามกาลเวลา) มรณะ (ความตาย) และความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งทางกาย และทางใจนานัปการ คือความโศก ความคร่ำครวญร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจทั้งหลาย (ดูเรื่องวิปัสสนา-หลักการพื้นฐาน หัวข้อทุกข์เกิดจากอะไร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบนะครับ)
และตราบใดที่อวิชชายังมีอยู่ วงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาทนี้ย่อมหมุนไปอย่างไม่รู้จบสิ้น โดยมีอวิชชาเป็นผู้ลากไป เหมือนล้อเกวียนที่หมุนทับรอยเดิม (ทับแต่ละจุดบนผิวล้อ ซึ่งเปรียบเหมือนแต่ละขั้นของปฏิจจสมุปบาท) ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้จบครับ
ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการอธิบายปฏิจจสมุปบาทในแง่ของการเกิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าสาเหตุที่สำคัญของการเกิดใหม่ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนั้น ก็คืออวิชชา และที่รองลงมาก็คือตัณหาและอุปาทานนั่นเองครับ
สำหรับปฏิจจสมุปบาทสายดับนั้น อธิบายได้ว่า
เมื่ออวิชชาดับไป คืออวิชชาไม่เกิดขึ้น > สังขารที่ปรุงแต่งไปในทางยินดีในการเกิด จึงไม่เกิดขึ้นเมื่อสังขารที่ปรุงแต่งไปในทางยินดีในการเกิดไม่เกิดขึ้น > วิญญาณในภพใหม่จึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อวิญญาณในภพใหม่ไม่เกิดขึ้น > นาม - รูปในภพใหม่จึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อนาม - รูปในภพใหม่ไม่เกิดขึ้น > สฬายตนะในภพใหม่จึงไม่เกิดขึ้น
... ผัสสะ ... เวทนา ... ตัณหา ... อุปาทาน ... ภพ หรือ ภวะ ... ชาติ ... จึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อชาติ (การเกิด) ในภพใหม่ไม่เกิดขึ้น > ชรา มรณะ ทุกข์ต่างๆ ในภพใหม่จึงไม่เกิดขึ้น
วงล้อแห่งปฏิจจสมุปบาท จึงหยุดหมุนได้ด้วยประการฉะนี้
ซึ่งอวิชชาจะหมดไปได้ก็ด้วยการเจริญวิปัสสนาเท่านั้นนะครับ
หมายเหตุ
ส่วนประกอบต่างๆ เช่น อวิชชา, สังขาร, ..., ทุกข์ต่างๆ ที่กล่าวแยกกันอยู่ในแต่ละชาตินั้น เพื่อเป็นการเน้นบทบาทของส่วนประกอบนั้นๆ เป็นพิเศษนะครับ ทั้งนี้ในทุกๆ ชาติก็ล้วนมีส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้นนะครับ เพียงแต่ไม่ได้กล่าวถึงเท่านั้นเองครับ (ยกเว้นในบางภพภูมิ หรือบางบุคคล ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวนะครับ เช่น ในอรูปภูมิมีแต่นามขันธ์ ไม่มีรูปขันธ์ พระอรหันต์ไม่มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทุกข์ทางใจ เป็นต้น)ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ
สวัสดีอีกครั้งครับท่านธัมมโชติ ได้ยินได้ฟังเรื่องปฎิจจสมุปปบาทมาโดยตลอด และได้อ่านเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้งในบทความด้านบน แต่ก่อนก็เหมือนเข้าใจแต่อยู่ๆก็เกิดคำถามขึ้นในใจครับว่า เมื่อสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดปฎิสนธิวิญญานๆเป็นปัจจัยให้เกิดรูปนามขึ้นซึ่งขั้นต่อไปคือสฬายตนะ ..ในขั้นของการเกิดรูปนามนี้อยู่ๆก็เกิดสงสัยขึ้นมาครับว่ารูปนามนี้เกิดขึ้นที่ไหน ใช่ที่ภพหรือปล่าว แต่เพราะก่อนมีภพต้องมีอุปทานก่อน ภพมีจึงมีการเกิด(ชาติ).. ซึ่งการเกิดรูปนามของปฎิสนธิวิญญานก็เป็นการเกิดของสัตว์เหมือนกัน ตามที่บทความด้านบนบอกว่าเป็นภพแรกหรือชาติแรกของวิญญานที่เกิดมาพร้อมกับขันธ์ต่างๆ ผมเลยสับสนขึ้นมาตรงภพครับ ว่าภพเกิดขึ้นตามขั้นลำดับของอุปทานนี่นา แล้วทำไมจึงมีภพมารอตรงปฎิสนธิวิญญานอีก ผมคงสับสนหรือเข้าใจอะไรพลาดไปแน่ รบกวนท่านอาจารย์ธัมมโชติช่วยอธิบายให้หายสงสัยด้วยเถิด ขอบพระคุณมากครับ
ตอบลบ
ลบสวัสดีครับ
ขอขยายความเรื่องภพก่อนนะครับ ตามที่กล่าวไว้ข้างบนแล้วว่า "ภวะ หรือภพมี 2 อย่าง คือ ขณะสร้างกรรมเพื่อให้ไปเกิดในภพภูมินั้น เรียกว่ากรรมภวะ หรือกรรมภพ และขณะที่ได้ไปเกิดในภพภูมินั้นจริงๆ เรียกว่าอุปปัตติภวะ หรืออุปปัตติภพครับ"
คือคำว่า "ภพ" ในปฏิจจสมุปบาทนั้นจะเน้น หรือหมายถึง "กรรมภพ" ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น แต่ยังไม่เกิดขึ้นจริง เปรียบเหมือนการสร้างวิมานในอากาศ (จริงๆ คือสร้างในใจ) นะครับ
ส่วน "อุปปัตติภพ" นั้น ก็คือการเกิดขึ้นในภพใหม่แล้วจริงๆ ซึ่งก็คืออันเดียวกัน หรือขณะเดียวกันกับ "ชาติ" นั่นเองครับ
จากที่อธิบายไว้ตอนต้นของด้านบนว่า "ปฏิจจสมุปบาทนั้นอธิบายถึงชีวิตใน 3 ชาติ" ขอขยายความให้ชัดเจนนะครับว่า "ชาติที่ 1" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงชาติแรกที่ชีวิตเกิดขึ้นมานะครับ แต่หมายถึงชาติใดๆ ก็ได้ที่เรานำมาพิจารณา เช่น ถ้าเราเริ่มพิจารณาจากชาติที่ 1,000,001 ก็จะพิจารณาว่าชาติที่ 1,000,001 เป็นชาติที่ 1 ชาติที่ 1,000,002 ก็จะเป็นชาติที่ 2 ชาติที่ 1,000,003 ก็จะเป็นชาติที่ 3
แต่ถ้าเราเริ่มพิจารณาจากชาติที่ 1,000,000 ก็จะพิจารณาว่าชาติที่ 1,000,000 เป็นชาติที่ 1 ชาติที่ 1,000,001 ก็จะเป็นชาติที่ 2 ชาติที่ 1,000,002 ก็จะเป็นชาติที่ 3
นั่นหมายความว่า สังขารในชาติที่ 1,000,001 เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณในชาติที่ 1,000,002 ตามกรณีแรก
ในขณะที่ กรรมภพในชาติที่ 1,000,001 ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ หรืออีกนัยหนึ่งคืออุปปัตติภพ ในชาติที่ 1,000,002 ตามกรณีที่ 2
หมายความว่า ในทุกๆ ครั้งของการเกิดใหม่นั้น จะมีสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณ ในขณะที่ก็จะมีกรรมภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ หรือก็คืออุปปัตติภพ พร้อมๆ กันไปด้วยครับ
เพียงแต่การที่แยกออกมาเป็น 3 ชาติ ก็เพื่อเน้นปัจจัยสำคัญในการเกิดใหม่ 2 ตัว คือสังขาร กับกรรมภพ แยกกันออกมาให้เห็นชัดเจนขึ้นเท่านั้นครับ ว่าตัวไหนมีบทบาทอย่างไร
คือชาติที่ 1 ไป 2 เน้นที่สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
ชาติที่ 2 ไป 3 เน้นที่ภพ (กรรมภพ) เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ (อุปปัตติภพ)
สรุปจากคำถาม คำตอบก็คือ รูปนาม (ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณ โดยมีปฏิสนธิวิญญาณเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นมาพร้อมกับตนเอง) นั้นเกิดที่อุปปัตติภพ ในขณะแห่งชาติ คือขณะที่ปฏิสนธิวิญญาณ หรือปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นนั่นเองครับ
ตามที่ได้กล่าวไว้ในส่วนของหมายเหตุว่า "ส่วนประกอบต่างๆ เช่น อวิชชา, สังขาร, ..., ทุกข์ต่างๆ ที่กล่าวแยกกันอยู่ในแต่ละชาตินั้น เพื่อเป็นการเน้นบทบาทของส่วนประกอบนั้นๆ เป็นพิเศษนะครับ ทั้งนี้ในทุกๆ ชาติก็ล้วนมีส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้นนะครับ เพียงแต่ไม่ได้กล่าวถึงเท่านั้นเองครับ"
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
ธัมมโชติ
ขอบพระคุณครับ เริ่มเห็นความกระจ่าง แต่คงต้องอ่านทบทวนหลายๆรอบหน่อย เพราะเป็นเรื่องเข้าใจยากพอสมควร รบกวนถามอีกนิดหนึ่งครับ คำว่าชาติที่1 ,2 ,3 ในตารางซ้ายมือ เหมือนกับชาติในตารางขวามือในแถบสีเขียวไหมครับ ชาติที่1 2 3 นี่คงไม่ใช่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ อนาคตชาติใช่ไหมครับ ผมกลัวตีความผิดออกทะเลไป กราบขอบพระคุณในคำตอบครับ
ตอบลบ
ลบขออภัยด้วยครับ ตอนทำตารางไม่ได้นึกถึงประเด็นนี้ ซึ่งจะทำให้เข้าใจผิดได้ครับ
คำว่า "ชาติที่ 1 ,2 ,3" ในตารางซ้ายมือ หมายถึงตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายในการเกิด 1 รอบ คือชาติในความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้กันครับ
จะหมายถึงชาติไหนๆ ในช่วง 3 ชาติติดกันที่นำมาพิจารณาก็ได้ครับ เช่น อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ อนาคตชาติ ก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนชาติในตารางขวามือในแถบสีเขียว หมายถึงการเกิด (เน้นที่ขณะที่เกิดปฏิสนธิวิญญาณ) คือชาติตามความหมายในทางธรรมครับ
ธัมมโชติ