ธัมมโชติ รวมธรรมะน่าสนใจจากพระไตรปิฎกด้วยภาษาง่ายๆ เพื่อคนรุ่นใหม่
สังโยชน์ หรือสัญโยชน์ หรือสัญโญชน์ (พระไตรปิฎกแต่ละฉบับ รวมถึงตำราแต่ละเล่มเรียกต่างกันออกไปนะครับ) คือเครื่องผูกจิตเอาไว้ให้ติดอยู่กับสิ่งต่างๆ รวมถึงภพภูมิต่างๆ และวัฏสงสาร ทำให้จิตไม่เป็นอิสระ ต้องตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นจึงสามารถฉุดกระชากลากจูงจิต ให้ต้องทนทุกข์ทรมานต่างๆ นานา ไม่อาจพ้นจากทุกข์ไปได้ครับ
เปรียบเหมือนเชลยที่ถูกข้าศึกเอาเชือกล่าม แล้วใช้ม้าลากให้เชลยนั้นถูลู่ถูกังไปกับพื้น ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสโดยไม่ปรานี
สังโยชน์ 10 นี้มีอวิชชาเป็นแม่ทัพที่คอยบงการให้เสนาทั้ง 9 ลากจูงจิตไปในทิศทางต่างๆ เมื่อเสนาใดมีกำลังมากกว่าก็จะฉุดกระชากจิตให้ถูลู่ถูกังไปในทิศทางของตน (ดูภาพด้านล่างประกอบนะครับ)
แผนภูมิแสดงสังโยชน์ 10 |
สังโยชน์ 10 ประกอบด้วย
-
สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา
ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่นครับ
- วิจิกิจฉา : ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเหล่านี้คือ
-
สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จด้วยตัวพระองค์เองมาแล้วมีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า)
-
สงสัยว่าสภาวะที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนั้น
มีจริงหรือไม่ และทางไหนกันแน่ที่ถูกต้องแท้จริง (สงสัยในพระธรรม)
-
สงสัยว่าผู้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำจนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้วมีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระสงฆ์)
-
สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จด้วยตัวพระองค์เองมาแล้วมีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า)
- สีลพตปรามาส : การถือศีลพรตด้วยจุดมุ่งหมายที่ผิดทาง
ทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากศีลหรือพรตนั้นอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจถึงขั้นได้รับโทษจากการถือศีลพรตนั้นเลยก็ได้ครับ เช่น กิเลสหรือมานะ (ความถือตัว) งอกเงยขึ้น กลายเป็นคนหลงงมงายหรือเป็นทุกข์ไปโดยเปล่าประโยชน์
สีลพตปรามาสนี้ผูกจิตไว้กับการปฏิบัติที่ผิดทางหรือการปฏิบัติอย่างงมงายครับ
- กามฉันทะ : ความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือเพลิดเพลินในความคิด อันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง
กลิ่น รส สัมผัสทางกายนั้น
กามฉันทะนี้ผูกจิตไว้ให้ต้องตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เหมือนปลาที่ติดเบ็ดเพราะหลงใหลในเหยื่อที่ล่อเอาไว้ และผูกจิตไว้กับกามภูมิครับ
- ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งภายในใจ ความขัดเคืองใจ
ความโกรธ ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ
ปฏิฆะนี้ผูกจิตไว้กับความทุกข์ทางใจต่างๆ นานาครับ
- รูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นรูปสมาบัติ
หรือรูปฌาน คือสมาธิที่ใช้รูปธรรมเป็นเครื่องยึดเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น
ดิน น้ำ ไฟ อาการเคลื่อนไหว (ลม) ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แสงสว่าง สีต่างๆ สิ่งต่างๆ
ที่เห็นในนิมิต (ภาพที่เกิดขึ้นขณะหลับตาทำสมาธิ)
รูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับรูปภูมิ คือภูมิที่ผู้ได้สมาธิขั้นรูปฌานจะไปเกิดเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วนะครับ ในภูมินี้จะมีความสุขจากสมาธิเป็นหลัก ไม่สนใจในกามคุณทั้งหลาย
-
อรูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌาน
อันพ้นจากความยินดีพอใจในรูปทั้งปวง คือสมาธิที่ใช้อรูปคือสิ่งที่ไม่ใช่รูปเป็นเครื่องยึดเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างของอรูปเช่น ช่องว่าง (อากาศ) สิ่งที่รับรู้ความรู้สึก (วิญญาณ)
ความไม่มีอะไรเลย (อากิญจัญญายตนสมาบัติ) ความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกตัวเลย (เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ)
คนที่ได้อรูปฌานนั้น จะไม่ยินดีในรูปใดๆ เลยครับ จะยินดีพอใจในการไม่มีรูปเท่านั้น
ไม่ยินดีแม้กระทั่งการมีร่างกาย เพราะมองเห็นแต่ทุกข์ และโทษที่เกิดจากการมีร่างกาย
เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในภูมิที่ไม่มีร่างกาย คือมีเฉพาะจิตเพลิดเพลินอารมณ์อันเกิดจากสมาธิอยู่
ที่เรียกว่าอรูปภูมิ
อรูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับอรูปภูมิครับ
- มานะ : ความถือตัว ความรู้สึกว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นเรา
ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ว่าเราเหนือกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
มานะนี้ผูกจิตไว้กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความชิงดีชิงเด่น ความถือตัวครับ
- อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่านของจิต เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของจิตคิดว่าสิ่งต่างๆ
มีสาระ จิตจึงซัดส่ายไปหาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ไม่อาจตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแนบแน่นเป็นเวลานานๆ ได้
อุทธัจจะนี้ผูกจิตไว้กับความซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่นครับ
-
อวิชชา : ความไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง คือไม่รู้ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย)
สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง (นิโรธ-นิพพาน) ทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง (มรรค)
ไม่รู้ในกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่รู้ในหลักปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งต่างๆ
อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ จึงเกิดขึ้นได้) ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่น
อวิชชานี้ผูกจิตไว้กับวัฏสงสาร ภพภูมิทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และผูกจิตไว้กับสังโยชน์ทั้งปวงครับ
ผู้รวบรวม
ธัมมโชติ
ธัมมโชติ
คุณธัมมโชติ คุณเขียนดีมาก แต่ขออนุญาตเสนอแนะ ดังนี้ เขียนเสร็จ ควรเขียนอ้างอิงด้วยจากพระไตรปิฎกเล่ม/ ข้อ / และหน้าใด ? บทความ/ ข้อเขียนของคุณจะเป็นประโยชน์ และเป็นการประหยัดเวลา สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาพระไตรปิฎกมากค่ะ ไหนๆคุณก็เขียนแล้ว อ้างอิงเพิ่มอีกสักหน่อย เป็นธรรมทาน และวิทยาทาน ชาตินี้คุณเขียนเก่งอยู่แล้ว ชาติหน้าคุณจะเขียนเก่งกว่าเดิมอีกค่ะ /ขอบพระคุณค่ะ
ตอบลบ
ลบขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์พระไตรปิฎกออนไลน์ http://tripitaka-online.blogspot.com
ขอน้อมรับและขอบคุณในคำแนะนำด้วยครับ
ขอให้มีความสุขความเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ
ธัมมโชติ
🙏🙏🙏น้อมกราบขอบพระคุณจ้าค่ะ มีประโยชน์มากๆเจ้าค่ะ
ลบ๑.สักกายทิฏฐิ : ความเห็นว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนของเรา ควรแก่การยึดมั่นถือมั่น ผูกจิตไว้กับความเห็นแก่ตัวอย่างเหนียวแน่นครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
ตอบลบ๒.วิจิกิจฉา : ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ ไม่ปักใจเชื่อในสิ่งเหล่านี้คือ
สงสัยว่าพระพุทธเจ้าผู้รู้ทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและปฏิบัติตามทางนั้นจนสำเร็จด้วยตัวพระองค์เองมาแล้วมีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระพุทธเจ้า) ละด้วยอะไรด้วยอ้างอิง
สงสัยว่าสภาวะที่พ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงและทางปฏิบัติเพื่อเข้าสู่สภาวะนั้น มีจริงหรือไม่ และทางไหนกันแน่ที่ถูกต้องแท้จริง (สงสัยในพระธรรม) ละด้วยอะไรพร้องอ้างอิง
สงสัยว่าผู้ปฏิบัติตามทางที่พระพุทธเจ้าแนะนำจนพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้วมีจริงหรือไม่ (สงสัยในพระสงฆ์)
ความไม่แน่ใจนี้ผูกจิตเอาไว้กับความไม่แน่วแน่หรือความไม่จริงจังในการปฏิบัติในทางที่ถูกครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๓.สีลพตปรามาส : การถือศีลพรตด้วยจุดมุ่งหมายที่ผิดทาง ทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากศีลหรือพรตนั้นอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจถึงขั้นได้รับโทษจากการถือศีลพรตนั้นเลยก็ได้ครับ เช่น กิเลสหรือมานะ (ความถือตัว) งอกเงยขึ้น กลายเป็นคนหลงงมงายหรือเป็นทุกข์ไปโดยเปล่าประโยชน์
สีลพตปรามาสนี้ผูกจิตไว้กับการปฏิบัติที่ผิดทางหรือการปฏิบัติอย่างงมงายครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๔.กามฉันทะ : ความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย หรือเพลิดเพลินในความคิด อันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายนั้น
กามฉันทะนี้ผูกจิตไว้ให้ต้องตกเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย เหมือนปลาที่ติดเบ็ดเพราะหลงใหลในเหยื่อที่ล่อเอาไว้ และผูกจิตไว้กับกามภูมิครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๕.ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งภายในใจ ความขัดเคืองใจ ความโกรธ ความไม่สบายใจ ความเศร้าโศกเสียใจ
ปฏิฆะนี้ผูกจิตไว้กับความทุกข์ทางใจต่างๆ นานาครับ ละด้วยอะไรด้วยอ้างอิง
๖.รูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นรูปสมาบัติ หรือรูปฌาน คือสมาธิที่ใช้รูปธรรมเป็นเครื่องยึดเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น ดิน น้ำ ไฟ อาการเคลื่อนไหว (ลม) ร่างกาย อวัยวะต่างๆ แสงสว่าง สีต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เห็นในนิมิต (ภาพที่เกิดขึ้นขณะหลับตาทำสมาธิ)
รูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับรูปภูมิ คือภูมิที่ผู้ได้สมาธิขั้นรูปฌานจะไปเกิดเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วนะครับ ในภูมินี้จะมีความสุขจากสมาธิเป็นหลัก ไม่สนใจในกามคุณทั้งหลาย ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๗.อรูปราคะ : ความยินดี เพลิดเพลินในสมาธิขั้นอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌาน อันพ้นจากความยินดีพอใจในรูปทั้งปวง คือสมาธิที่ใช้อรูปคือสิ่งที่ไม่ใช่รูปเป็นเครื่องยึดเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ตัวอย่างของอรูปเช่น ช่องว่าง (อากาศ) สิ่งที่รับรู้ความรู้สึก (วิญญาณ) ความไม่มีอะไรเลย (อากิญจัญญายตนสมาบัติ) ความรู้สึกที่เหลืออยู่น้อยมาก จนแทบไม่มีความรู้สึกตัวเลย (เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ) คนที่ได้อรูปฌานนั้น จะไม่ยินดีในรูปใดๆ เลยครับ จะยินดีพอใจในการไม่มีรูปเท่านั้น ไม่ยินดีแม้กระทั่งการมีร่างกาย เพราะมองเห็นแต่ทุกข์ และโทษที่เกิดจากการมีร่างกาย เมื่อตายแล้วจึงไปเกิดในภูมิที่ไม่มีร่างกาย คือมีเฉพาะจิตเพลิดเพลินอารมณ์อันเกิดจากสมาธิอยู่ ที่เรียกว่าอรูปภูมิ
อรูปราคะนี้ผูกจิตไว้กับอรูปภูมิครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๘.มานะ : ความถือตัว ความรู้สึกว่ารูปนี้นามนี้หรือกายนี้ใจนี้เป็นเรา ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ว่าเราเหนือกว่าเขา เราเสมอกับเขา หรือเราด้อยกว่าเขา
มานะนี้ผูกจิตไว้กับการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ความชิงดีชิงเด่น ความถือตัวครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๙.อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่านของจิต เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นของจิตคิดว่าสิ่งต่างๆ มีสาระ จิตจึงซัดส่ายไปหาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่เนืองๆ ไม่อาจตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างแนบแน่นเป็นเวลานานๆ ได้
อุทธัจจะนี้ผูกจิตไว้กับความซัดส่ายรับอารมณ์ไม่มั่นครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
๑๐.อวิชชา : ความไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของสรรพสิ่ง คือไม่รู้ในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) สภาวะที่พ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง (นิโรธ-นิพพาน) ทางปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์อย่างสิ้นเชิง (มรรค) ไม่รู้ในกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ไม่รู้ในหลักปฏิจจสมุปบาท (การที่สิ่งต่างๆ อิงอาศัยสิ่งอื่นๆ จึงเกิดขึ้นได้) ไม่รู้เรื่องเหตุปัจจัย ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงล้วนไม่ควรค่าแก่การยึดมั่นถือมั่นอวิชชานี้ผูกจิตไว้กับวัฏสงสาร ภพภูมิทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง และผูกจิตไว้กับสังโยชน์ทั้งปวงครับ ละด้วยอะไรพร้อมอ้างอิง
ลบสวัสดีครับ
ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์พระไตรปิฎกออนไลน์ https://tripitaka-online.blogspot.com
จากคำถามที่ถามมา คำตอบอยู่ในเรื่อง อริยบุคคล 8 ประเภทและการละกิเลส นะครับ
อ้างอิงจาก พระอภิธรรมปิฎก ปุคคลบัญญัติ ๑. เอกกปุคคลบัญญัติ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๓๖
หน้า : ๑๕๖ ข้อ ๔๑ - ๔๔ ครับ
ธัมมโชติ
ขอบคุณครับ สาธุ
ตอบลบขออนุญาติครับ
ตอบลบท่านเอา กามฉันทะ ในนิวรณ์ ๕
มาอธิบาย แทน กามราคะ ในสังโยชน์
(ในสังโยชน์ ข้อที่๔
บาลีลงใว้ว่า กามราคะ ไม่ใช่กามฉันทะครับ
บทผิด พยัญชนะผิด
การตีความผิดความหมายผิด ครับ
พิจารณาใหม่ครับ
นิวรณ์ ๕
กับสังโยชน์ ๑๐ คนละอย่างกันครับ
ขอทำความเคารพครับ
ลบสวัสดีครับ
ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์พระไตรปิฎกออนไลน์ https://tripitaka-online.blogspot.com
และขอแสดงความขอบคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาชี้จุดบกพร่องให้ทราบนะครับ
ขอเรียนชี้แจงดังนี้ครับ
สังโยชน์ ข้อที่ ๔ นั้น พระบาลี (พระไตรปิฎก) ลงไว้ว่า กามราคะ (ไม่ใช่กามฉันทะ) จริงครับ แต่ไม่ใช่ในทุกพระสูตร
พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็น กามฉันทะ ก็มีครับ เช่น
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์] ๒. สติปัฏฐานวรรค ๕. โอรัมภาคิยสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๕๕๒
๕. โอรัมภาคิยสูตร
ว่าด้วยโอรัมภาคิยสังโยชน์
[๖๗] ภิกษุทั้งหลาย โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) ๕ ประการนี้
โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นอัตตาของตน)
๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๓. สีลัพพตปรามาส (ความยึดมั่นศีลพรต)
๔. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม)
๕. พยาบาท (ความคิดร้าย)
ภิกษุทั้งหลาย โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้แล
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ ประการนี้ เพื่อละโอรัมภาคิย-
สังโยชน์ ๕ ประการนี้แล
ฯลฯ
โอรัมภาคิยสูตรที่ ๕ จบ
อ่านได้โดยตรงที่ลิ้งค์นี้นะครับ
ธัมมโชติ
ขออภัยนะครับ
ลบจากข้างบน
ผมเจอ อีกที่แล้วครับ
ใช้คำว่า กามมัจฉันโท
ขอบคุณครับท่านพระอ
ตอบลบ